สายมูมาทางนี้ ไหว้พระวัดดังในญี่ปุ่นที่ไม่ควรพลาด

ในประเทศญี่ปุ่นมีวัดและศาลเจ้าที่เป็นที่พึ่งพิงทางจิตใจของชาวญี่ปุ่นมากมายประมาณ 58,000 แห่ง กระจายอยู่ทั่วทั้งเกาะ วัดแต่ละแห่งนอกจากจะเป็นที่พึ่งทางใจแล้วก็ยังมีความสงบร่มรื่นสบายตา มีมนต์เสน่ห์ และมีธรรมชาติที่สวยงาม ถือว่ามาเพื่อได้สักการะขอพรเพื่อให้สมดังใจแล้ว ยังได้เยี่ยมชมประติมากรรมอันงดงามของวัดแต่ละแห่งอีกด้วย

วันนี้เรานำเสนอวัดดังที่ใครมาญี่ปุ่นต้องไป มาดูกันว่าแต่ละแห่งจะมีเรื่องราวอะไรที่พิเศษยังไงกันบ้าง

ศาลเจ้าโตเกียว (Tokyo Daijingu)

Japanese Temple

ใครโสดยกมือขึ้น อกหักรักคุดตุ๊ดเมิน เดินมาที่นี่เลยจ้า ศาลเจ้าอันดับ 1 ที่ใครๆก็มาขอแฟนกัน Tokyo Daijingu ยืนหนึ่งเรื่องความศักดิ์และสมหวังในการขอพรในเรื่องขอความรัก ศาลเจ้านี้ตั้งอยู่ในย่าน Idabashi ใจกลางกรุงโตเกียว ดูจากภายนอกเหมือนจะเป็นศาลเจ้าเล็กๆ แต่เดินเข้าไปข้างในแล้วจะรู้สึกว่า

เฮ้ยย ไม่น่าเชื่อเลยผู้คน หนุ่มสาวต่างหลั่งไหลเดินเข้าออกไม่ขาดสาย เนื่องจากใครขอพรก็สมดั่งขอทุกรายจึงเป็นที่กล่าวถึงกันมากมาย แถมยังเป็นสถานที่จัดพิธีแต่งงานตามนิกายชินโตของญี่ปุ่นในศาลเจ้าอีกด้วย

วัดโคโตะกุอิน (Kotokuin Temple)

Great Buddha of Kamakura

พระใหญ่แห่งเมืองคามาคุระ จังหวัดคานางาวะ พระใหญ่ไดบุตสึ (Kamakura Daibutsu) มีอายุเก่าแก่กว่า 800 ปี มีความสูง 13.35 เมตร น้ำหนัก 95 ตัน เป็นพระพุทธรูปที่ใหญ่เป็นอันดับสองในญี่ปุ่น นอกจากชมความงดงามขององค์พระแล้วเรายังสามารถเข้าชมด้านหลังองค์พระได้อีกด้วย บริเวณรอบๆวัดนั้นร่มรื่นน่าเดินเล่นมากๆ สัญลักษณ์สำคัญของวัดแห่งนี้คือโคมแดงอันใหญ่ๆ ที่เห็นได้ชัดเจนเมื่อเข้ามาภายในวัด ซึ่งมักจะมีผู้คนเดินทางเข้ามาสักการะ และเที่ยวชมกันมากมายแบบไม่ขาดสายเลย

การเดินทาง : นั่งรพไฟ JR Yokosuka Line มาลงที่สถานี Kamakura Station แล้วต่อรถไฟ Enoshima Electric Railway ไปลง Hase Station และเดินต่ออีกประมาณ 10 นาที

วัดเซนโซจิ (Sensoji Temple)

Japan. Tokyo. Asakusa Temple at night. Tourists on Asakusa street. Tourists in night Tokyo. People near the Buddhist pagoda. Pagoda at Sensoji Temple. Tours in Tokyo. Traveling in Japan.

วัดเซนโซจิ หรือที่นิยมเรียกกันว่า วัดอาซากุสะ หรือวัดโคมแดง (Asakusa Kannon Temple) ตั้งอยู่ในย่านอาซากุสะ วัดที่เก่าแก่มีประวัติความเป็นมายาวนานตั้งแต่ปี ค.ศ. 645 เป็นวัดทางศาสนาพุทธที่เก่าแก่ที่สุดในย่านคันโต และเป็นที่นิยมมากที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองโตเกียว จุดเด่นของวัดคือ โคมแดงขนาดใหญ่แขวนเอาไว้ ที่ด้านล่างของโคมแดงจะมีรูปสลักไม้มังกรอยู่ มีความเชื่อว่าถ้าเอามือลูบแล้วจะสุขภาพดี

ด้านประตูนากามิเซะ จะเจอโซนกระถางธูปเพื่อสักการะให้กวักควันธูปเข้าตัวตามความเชื่อว่าจะนำความโชคดีเข้าหาตัวเรา อาคารหลังในก็จะเป็นที่ตั้งของเจ้าแม่กวนอิม ตามตำนานบอกว่ามีชาวประมง 2 พี่น้องออกไปจับปลา แต่หาปลาไม่ได้เลย จึงอธิษฐานขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้จับปลาได้ แต่เมื่อเหวี่ยงแหลงไปก็ได้เจ้าแม่กวนอิมทองคำสูงประมาณ 5 นิ้วขึ้นมาแทน จึงได้นำกลับมาที่หมู่บ้านแล้วสร้างเป็นวัดในเวลาต่อมา

ความงดงามของวัดเป็นที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาไม่ขาดสาย ถนนหนทางที่จะเข้าภายในวัดก็เต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย ถือเป็นจุดเช็คอินที่คึกคักมากเป็นพิเศษกว่าวัดอื่นๆ

การเดินทาง : นั่งรถไฟใต้ดินสายกินซ่า (Ginza) และสายโทบุ (Tobu Sky tree) มาลงที่สถานีอาซากุสะ (Asakusa) เมื่อออกจากสถานีแล้วเดินต่ออีกประมาณ 5 นาที

วัดนันโซอิน (Nanzoin temple)

เป็นวัดนี้ยังไม่เป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยวเท่าไหร่นัก ตั้งอยู่ในเมืองซาซะกุริ (Sasaguri) จังหวัดฟูกุโอกะ (Fukuoka) ซึ่งเป็นคล้ายๆเมืองรองในการไปท่องเที่ยว มาดูกันดีกว่าว่าวัดนี้มีอะไร

The Nehanzo of Nanzoin Temple in Fukuoka, Japan.

ภายในวัดนี้มีอะไรที่น่าสนใจมากมาย ค่อยๆเดิมชมกันนะคะ อย่างแรกที่สะดุดตาเลยคือ พระพุทธรูปทองสำริดขนาดใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ถ้าเป็นคนไทยจะเรียกว่าเป็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์ คือพระพุทธรูปที่อยู่ในท่าบรรทม ขนาดขององค์พระใหญ่ประมาณเนินเขาเล็กๆลูกหนึ่งเลยทีเดียวเพราะมีความยาว 41 เมตร สูง 11 เมตร หนักถึง 300 ตัน

Bronze buddha statue in Nanzo-in Temple, Fukuoka, Japan
Nanzo-in Temple in Fukuoka, Japan

และนอกจากพระองค์ใหญ่ที่ดึงดูดนักแสวงบุญที่มาในแต่ละปีกว่าหนึ่งล้านคนแล้วคือ วัดนี้เป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางแสวงบุญของนิกายชินกอน ของทาง Kobo Daishi มีระยะทาง 44 กม.ต้องใช้เวลาเดิน 3 วัน ทางวัดเปิดให้เข้าชมฟรี ไม่มีวันหยุด

การเดินทาง จากสถานีรถไฟฮากาตะ นั่งรถไฟสาย JR Sasaguri Line ไปลงที่สถานี Kido Nanzoin-mae ใช้เวลาประมาณ 20 นาที และเดินต่ออีกประมาณ 5 นาที ก็ถึงวัดแล้วค่ะ

วัดโทไดจิ (Todaiji)

วัดโทไดจิแห่งนารา ชื่อ Todaiji แปลว่า มหาวิหารตะวันออก วัดนี้มีเชื่อเสียงระดับโลกของญี่ปุ่นมีประวัติยาวนานมากสร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 752 สมัยที่นาราเป็นเมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่น ก่อนที่จะย้ายไปเป็นเกียวโต มีอายุกวว่า 1,200 ปี เก่าแม่มากจนได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโก

วัดนี้ก็มีเหตุการณ์ไฟไหม้เมื่อในอดีต และได้มีการบูรณะก่อสร้างวิหารขึ้นใหม่ ในปัจจุบันเรียกว่า วิหารไดบุทสึเด็น (Daibutsuden Hall) เป็นที่ประดิษฐานของพระไดบุตสึ หรือที่เรียกกันว่า หลวงพ่อโตแห่งนารา อย่างไรก็ตาม วิหารนี้ก็ถือเป็นวิหารไม้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ดี ปัจจุบันวัดแห่งนี้เป็นสถานที่เก็บสมบัติชาติที่สำคัญหลายชิ้นด้วยกัน วัดนี้เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของเมืองนาราคอยต้อนรับผู้คนที่มาเยือนทุกท่านค่ะ

วัดคินคะคุจิ หรือวัดทอง (Kinkakuji Temple)

วัดคินคะคุจิ เป็นวัดที่เป็นแลนด์มาร์กของเกียวโตเลยทีเดียว วัดนี้คนไทยรู้จักกันในนามของวัดทองเกียวโต ด้วยความโดดเด่นที่เป็นสถาปัตยกรรมศิลปะของ Golden Pavilion ที่งดงาม บรรยากาศที่รายล้อมดูสงบและภูมิทัศน์ที่สุดแสนจะประทับใจเมื่อได้มาเยือน

ที่นี่มีประวัติความเป็นมายาวนานแต่เราจะเล่าคร่าวๆให้ฟังเริ่มที่ชื่อของวัดเลย สาเหตุที่วัดได้ชื่อว่าวัดทองเกียวโต ไม่ใช่ว่าตัววัดสร้างจากทองคำนะคะ วัดนี้สร้างจากไม้มีความเก่าแก่ สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1397 เพื่อใช้เป็นที่พำนักของโชกุน มีความสูงถึง 12.5 เมตร นอกจากใช้เป็นที่พำนักของโชกุนแล้ว ยังเป็นสถานที่ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองอีกด้วยภายหลังจึงกลายเป็นวัดในปัจจุบัน และด้วยความสวยงามจึงกลายเป็นต้นแบบของวัด Gingakuji หรือวัดเงิน ในเวลาต่อมา

แต่มีช่วงหนึ่งที่วัดถูกไฟไหม้อันเนื่องมากจากสงคราวโอนิน ช่วงปี ค.ศ.1467-1477 แต่ครั้งที่เสียหายหนักคือตัว Golden Pavilion ได้ถูกเผาไหม้จนไม่เหลือซาก ดังนั้นทางวัดคินคะคุจิในปัจจุบันเป็นอาคารที่ถูกสร้างขึ้นให้แต่ยังรักษาเอกลักษณ์ดั้งเดิมไว้และบูรณะอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะการใช้แผ่นทองมาบูรระจึงงดงามอย่างที่เห็น ใน ค.ศ. 1994 ก็ได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโก้ ให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่มีความสำคัญกับคนญี่ปุ่น