อินเตอร์เน็ตในประเทศญี่ปุ่น

อินเตอร์เน็ตในประเทศญี่ปุ่น

อินเตอร์เน็ตในประเทศญี่ปุ่น

การใช้งานอินเตอร์เน็ตในประเทศญี่ปุ่นนับว่ามีความสะดวกสบายมาก เพราะมีสัญญาณครอบคลุมทั่วประเทศ ทั้งสัญญาณ 4G / 5G จากผู้ให้บริการหลายค่าย เช่น Docomo หรือ SoftBank รวมถึง Wi-Fi ฟรีตามสถานที่ต่างๆ

Wi-Fi ฟรี

Wi-Fi ฟรีตามสถานที่ต่างๆ ในญี่ปุ่น เช่น สถานีรถไฟ โรงแรม ร้านอาหาร และตามสถานที่ท่องเที่ยว มีให้บริการมากมาย อำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวที่จำเป็นต้องใช้อินเตอร์เน็ต ข้อเสียคือเวลาที่จำกัดและต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีสัญญาณเท่านั้น

สัญลักษ Wi-Fi ฟรีภายในรถไฟชินคันเซ็น

Pocket Wi-Fi

อุปกรณ์รับและส่งสัญญาณ Wi-Fi แบบพกพาที่สามารถเช่าจากผู้ใหญ่บริการในประเทศไทยได้ ข้อดี คือ ไม่ต้องตั้งค่าแค่เปิดใช้งานเมื่อไปถึงญี่ปุ่น โดยเช่าแค่ 1 เครื่องก็สามารถใช้กับโทรศัพท์ได้หลายเครื่อง แต่ข้อเสียคือหากต้องการใช้งานหลายคน ทุกคนต้องอยู่ในระยะของสัญญาณเท่านั้น และเป็นอุปกรณ์ที่ต้องรับก่อนออกเดินทางและส่งคืนผู้ให้บริการหลังสิ้นสุดการเช่า

SIM Card

ปัจจุบันมีค่ายโทรศัทพ์ที่ให้บริการซิมการ์ดสำหรับใช้งานอินเตอร์เน็ตในต่างประเทศหลายแพ็กเกจ โดยต้องลงทะเบียนซิมการ์ดและยืนยันตัวตนก่อนการใช้งาน ซึ่งสามารถทำได้ตั้งแต่อยู่ประเทศไทย เมื่อเดินทางถึงญี่ปุ่น สามารถเปิด Data เพื่อใช้งานอินเตอร์เน็ตได้ทันที ข้อเสียคือต้องถอดเปลี่ยนซิมออกสำหรับโทรศัพท์ที่รองรับได้แค่ซิมเดียว

eSIM

อีซิม (eSIM) เป็นอีกวิธีที่ช่วยให้เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตที่ญี่ปุ่นง่ายยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องเปลี่ยนซิมและตั้งค่าหรือลงทะเบียนยืนยันตัวตนก่อนใช้งาน เพียงสแกน QR Code ที่ได้รับ และรอซักพักก็สามารถใช้งานอินเตอร์เน็ตในญี่ปุ่นได้ทันที

ข้อดีคือหากซื้อแพ็กเกจแบบ Unlimited เพียงซิมเดียว สามารถแชร์ Hot Spot ให้โทรศัพท์เครื่องอื่นๆ เสมือนเป็น Pocket Wi-Fi ส่วนตัว แต่ข้อเสียคือ eSIM ต้องใช้กับโทรศัพท์รุ่นที่รองรับ eSIM เท่านั้น


ขั้นตอนขึ้นเครื่องบินไปต่างประเทศครั้งแรกสำหรับมือใหม่

ขั้นตอนขึ้นเครื่องบินไปต่างประเทศครั้งแรกสำหรับมือใหม่

ขั้นตอนขึ้นเครื่องบินไปต่างประเทศครั้งแรกสำหรับมือใหม่

สำหรับมือใหม่เที่ยวต่างประเทศครั้งแรกอาจมีความกังวลตั้งแต่การขึ้นเครื่องบินเลย วันนี้ Japan All Pass จะมาแนะนำขั้นตอนและการเตรียมตัวขึ้นขึ้นเครื่องบินไปต่างประเทศครั้งแรก ใช้ได้ทั่วโลกเหมือนกัน แล้วจะรู้ว่าขึ้นเครื่องบินไปต่างประเทศไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด


การเตรียมตัวก่อนขึ้นเครื่องบิน

เช็คลิสต์สิ่งที่ต้องเตรียมก่อนเดินทางไปสนามบิน

จองตั๋วเครื่องบิน

สำคัญที่สุดเพราะจะนั่งเครื่องบินได้ต้องมีตั๋วเครื่องบินก่อน ปัจจุบันสามารถจองตั๋วเครื่องบินได้ด้วยตัวเองผ่านช่องทางออนไลน์ ทั้งเว็บไซด์สายการบินและเว็บไซด์เอเจนซี่อื่นๆ โดยหลังจากจองตั๋วและชำระเงินเรียบร้อย จะได้รับอีเมลยืนยันการจองซึ่งยังไม่ใช่ตั๋วเครื่องบิน ข้อมูลจะระบุเลขที่การจอง ชื่อผู้เดินทาง วันที่/เวลาเดินทาง และข้อมูลอื่นๆ ที่แต่ละสายการบินแนะนำให้

พาสปอร์ต

หนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต) เสมือนเป็นบัตรประจำตัวประชาชนใช้ยืนยันตัวบุคคลในต่างประเทศ โดยพาสปอร์ตธรรมดามีแบบอายุ 5 ปี และ 10 ปี ซึ่งการเดินทางไปต่างประเทศ พาสปอร์ตควรมีอายุเหลือไม่ต่ำกว่า 6 เดือน เพราะต้องใช้เป็นเอกสารในการเข้าออกผ่านแดนทั้งไทยและต่างประเทศ

วีซ่า

เอกสารต่างๆ ที่จำเป็นในการผ่านแดนเข้าออกประเทศ เช่น วีซ่า ซึ่งหากเดินทางไปประเทศที่ต้องใช้วีซ่าและพาสปอร์ตผู้เดินทางไม่มีวีซ่า สายการบินมีสิทธิ์ปฏิเสธการเดินทางตั้งแต่ต้นทาง

สำหรับการเดินทางไปญี่ปุ่นเพื่อการท่องเที่ยว ไม่จำเป็นต้องขอวีซ่าสำหรับการพำนักไม่เกิน 15 วัน

กระเป๋าสัมภาระ

กระเป๋าสัมภาระแบ่งได้ 2 ประเภท คือ สัมภาระโหลดใต้เครื่อง กับ สัมภาระถือขึ้นเครื่อง โดยน้ำหนักและขนาดกระเป๋าขึ้นอยู่กับนโยบายแต่ละสายการบินที่จะอนุญาตให้ผู้โดยสารนำมาได้เท่าไหร่

สัมภาระโหลดใต้เครื่อง (Check-in Baggage)

ไม่สามารถนำอุปกรณ์ที่มีแบตเตอร์รี่ เช่น โน๊ตบุ๊ค แท็บเล็ต แบตเตอรี่สำรอง (พาวเวอร์แบงค์) ใส่ในกระเป๋าสัมภาระโหลดใต้เครื่อง รวมถึงห้ามนำสิ่งของต้องห้ามของประเทศปลายทาง เช่น เนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ อาหารสด อาวุธ สิ่งของผิดกฏหมายต่างๆ

สัมภาระถือขึ้นเครื่อง (Carry-on Baggage)

ขนาดของสัมภาระถือขึ้นเครื่องจำกัดที่ขนาดไม่เกิน 56 x 40 x 23 ซม. และน้ำหนักไม่เกิน 7 กก.

สิ่งที่ไม่สามารถนำถือขึ้นเครื่องได้ อาวุธ สิ่งเทียมอาวุธ ของมีคม สิ่งของผิดกฏหมาย วัตถุไวไฟ สารเคมี รวมถึงของเหลวบนบรรจุภัณฑ์ห้ามเกิน 100 ml. ต่อชิ้น (รวมกันต้องไม่เกิน 1000 ml.) แบตเตอรี่สำรอง (พาวเวอร์แบงค์) ความจุห้ามเกิน 32,000 mAh

ขนาดกระเป๋า Carry On

ตรวจสอบสถานะเที่ยวบินก่อนวันเดินทาง

ก่อนวันเดินทางอย่างน้อย 1 วัน หากมีการเปลี่ยนแปลง เช่น เลื่อนเวลาเดินทาง ผู้โดยสารต้องตรวจสอบทางอีเมลก่อนวันเดินทาง และเตรียมแผนการเดินทางไปยังสนามบินถึงก่อนเวลาเครื่องออกอย่างน้อย 3 ชม.


5 ขั้นตอนการขึ้นเครื่องบิน

การเช็คอิน

สามารถเช็คอินออนไลน์หรือเช็คอินที่สนามบินผ่านเคาน์เตอร์สายการบินหรือเครื่องเช็คอินอัตโนมัติ ซึ่งสามารถทำได้ล่วงหน้า 24-48 ชม. ก่อนเครื่องออก เป็นการยืนยันการเดินทางโดยจะทราบเลขที่นั่งและเวลาขึ้นเครื่องหลังจากเช็คอินแล้ว

เคาน์เตอร์เช็คอินแต่ละสายการบินมีระบุบนจอแสดงข้อมูลภายในสนามบิน และควรเช็คอินก่อนเวลาเครื่องออกอย่างน้อย 60 นาที

รับ Boarding Pass และโหลดสัมภาระ

Boarding Pass คือตั๋วขึ้นเครื่องบิน มีทั้งรูปแบบ E-Boarding Pass ที่ได้รับหลังเช็คอินออนไลน์ด้วยตัวเอง หรือ Boarding Pass แบบกระดาษสำหรับคนที่เช็คอินในสนามบิน ซึ่งต้องได้รับก่อนเดินเข้าจุดตรวจค้นในขั้นตอนต่อไป แต่สำหรับคนที่มีสัมภาระโหลดใต้เครื่อง ต้องนำไปที่เคาน์เตอร์โหลดสัมภาระเพื่อชั่งน้ำหนัก ติด Tag กระเป๋า แล้วโหลดขึ้นเครื่อง

ผ่านจุดตรวจค้นและตรวจคนเข้าเมือง

สแกน Boarding Pass เพื่อเดินเข้าจุดตรวจขาออกระหว่างประเทศ โดยจะเจอจุดตรวจความปลอดภัยก่อน ใครที่เผลอนำของเหลวเกินขนาดมา สามารถเททิ้งได้ที่จุดต่อแถว ใครที่นำโน๊คบุ๊คมา ต้องแยกออกจากกระเป๋า ก่อนนำเข้าเครื่อง X-Ray เมื่อพ้นจุดนี้จะเป็นด่านตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งพาสปอร์ตไทยสามารถเข้าเลนพิเศษสำหรับคนไทยได้ มีทั้งแบบสแกนพาสปอร์ตผ่านเครื่องด้วยตนเอง หรือผ่านเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง

หาประตูขึ้นเครื่อง

หลังจากผ่านตม.แล้ว ให้มองหาป้ายไปยังประตูขึ้นเครื่อง (Gate) ที่ระบุบน Boarding Pass โดยเส้นทางในแต่ละสนามบินจะมีความแตกต่างกัน อาจต้องนั่งรถไฟเชื่อมเพื่อเข้าอาคาร Satellite (SAT) และควรไปรอหน้าประตูก่อนเวลาเครื่องออกอย่างน้อย 30 นาที

ขึ้นเครื่องบิน

หาที่นั่งที่ระบุบน Boarding Pass หากไม่ทราบตำแหน่งให้สอบถามจากพนักงานต้อนรับบนเครื่อง เก็บสัมภาระไว้ที่เก็บเหนือศีรษะหรือใต้ที่นั่ง รัดเข็มขัดเมื่อนั่งประจำที่แล้ว ตั้งโทรศัพท์มือถือเป็นโหมดเครื่องบิน (Airplane Mode)


ระหว่างการเดินทางบนเครื่องบิน

การใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิก

เมื่อเครื่องบินขึ้นบนฟ้าแล้วจะไม่สามารถใช้งานโทรศัทพ์หรืออินเตอร์เน็ตได้ แต่ในหลายสายการบินมีบริการ Wi-Fi ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม ปลั๊กไฟหรือช่องเสียบ USB บนเครื่องบินมีเฉพาะในบางรุ่นเท่านั้น (ต้องตรวจสอบกับสายการบิน) ซึ่งในระหว่างเครื่องบินขึ้น (Take Off) และลง (Landing) จะไม่สามารถเสียบชาร์ตไฟได้เพื่อความปลอดภัย

ศึกษาคู่มือการปฏิบัติด้านความปลอดภัย

เป็นสิ่งที่แม้แต่คนที่ขึ้นเครื่องบินบ่อยก็มองข้าม ไม่ต้องมองไกลไปถึงการอพยพ แต่แค่การรัดเข็มขัดระหว่างนั่งเครื่องบินก็อาจช่วยไม่ให้บาดเจ็บจากการตกหลุมอากาศที่อาจเกิดได้ในทุกเที่ยวบิน


ขั้นตอนเมื่อถึงปลายทาง

ผ่านจุดตรวจคนเข้าเมือง

เตรียมพาสปอร์ต และใบตม./ศุลกากร (หรือ QR Code จากฟอร์มออนไลน์ เช่น Visit Japan) และยืนให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง

รับกระเป๋า

สายพานรับกระเป๋าจะระบุเที่ยวบินและต้นทางให้ผู้โดยสารทราบเพื่อรอรับกระเป๋า เมื่อหยิบกระเป๋าแล้วให้ตรวจสอบ Tag ว่าชื่อตรงกันไหม เพราะอาจเป็นเจ้าของคนอื่นที่มีกระเป๋าแบบเดียวกัน

หากกระเป๋าไม่มา ให้ติดต่อ Lost & Found เพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดตามและส่งกระเป๋าให้ที่โรงแรมต่อไป รวมถึงสามารถนำใบยืนยันไปเคลมประกันการเดินทางได้ภายหลัง

ผ่านจุดตรวจศุลกากร

จุดนี้อาจโดนสุ่มตรวจกระเป๋าสัมภาระ ซึ่งเจ้าหน้าที่จะขอค้นกระเป๋าเพื่อค้นหาสิ่งของต้องห้ามหรือสิ่งของผิดกฏหมาย แต่ถ้าไม่โดนเรียกสุ่มก็สามารถผ่านไปได้เลย


เมื่อผ่านออกมาแล้วเป็นการจบขั้นตอนในสนามบินเรียบร้อย ที่เหลือคือการออกเดินทางท่องเที่ยว

รูปแบบการใช้จ่ายเงินในประเทศญี่ปุ่น

รูปแบบการใช้จ่ายเงินในประเทศญี่ปุ่น

เงินเยน (円) คือสกุลเงินของประเทศญี่ปุ่น ธนบัตรมีตั้งแต่ 1,000 เยน 2,000 เยน (หาได้ยากมาก) 5,000 เยน และ 10,000 เยน ส่วนเหรียญมีตั้งแต่ 1 เยน, 5 เยน, 10 เยน, 50 เยน, 100 เยน และ 500 เยน ร้านค้าในญี่ปุ่นส่วนใหญ่ไม่รับสกุลเงินต่างประเทศ ยกเว้นภายในสนามบินนานาชาติขนาดใหญ่เท่านั้น

ญี่ปุ่นมีชื่อเสียงว่าเป็นสังคมที่ใช้เงินสดเป็นหลัก แต่ปัจจุบันมีการยอมรับวิธีการชำระเงินอื่นๆ เพิ่มมากขึ้น วิธีการชำระเงินที่อาจใช้ได้เมื่อมาเที่ยวญี่ปุ่น

เงินสดเป็นวิธีการชำระเงินที่นิยมมากที่สุด โดยสามารถใช้จ่ายสินค้าและบริการได้ทุกชนิด ซึ่งจำเป็นสำหรับการจ่ายเงินในร้านค้าขนาดเล็ก วัด ศาลเจ้า ตู้ล็อกเกอร์ และบัตรเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวท้องถิ่น ดังนั้นจึงควรพกเงินสดติดตัวไว้เมื่อเดินทางไปยังชนบท

เงินเยน

ปัจจุบัน บัตรเครดิตและเดบิตได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ๆ โรงแรมส่วนใหญ่ ห้างร้านขนาดใหญ่ ร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหารระดับกลางขึ้นไป ยอมรับชำระเงินด้วยบัตรเครดิต / บัตรเดบิต เช่นกัน

บัตร Travel Card เช่น YouTrip นับเป็นบัตรเดบิตประเภทหนึ่งที่สามารถแลกเงินเป็นสกุลเงินต่างประเทศและใช้แตะจ่ายเสมือนบัตรเดบิตทั่วไป โดยไม่มีค่าธรรมเนียอัตราแลกเปลี่ยนสุกลเงิน 2.5% เหมือนบัตรเครดิต รวมถึงสามารถกดเงินสดที่ตู้เอทีเอ็มในญี่ปุ่นได้

บัตร IC Card เช่น Suica, PASMO, ICOCA เป็นบัตรเติมเงินที่สามารถชำระค่าโดยสารรถไฟและรถบัสเกือบทั่วประเทศ และยังสามารถใช้ชำระเงินที่ร้านค้า ร้านอาหาร ตู้กดสินค้าอัตโนมัติ (Vending Machine) และตู้ล็อกเกอร์จำนวนมากทั่วประเทศญี่ปุ่น ซื้อได้ตามตู้จำหน่ายตั๋วรถไฟอัตโนมัติที่สถานีรถไฟ แต่การเติมเงินเข้าบัตรก็ต้องใช้เงินสดอยู่ดี โดยเติมได้ที่ตู้จำหน่ายตั๋วรถไฟอัตโนมัติ ร้านสะดวกซื้อ หรือตู้เอทีเอ็ม

การชำระเงินบนผ่านแอปพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือ โดยการแตะเครื่องอ่าน NFC หรือสแกนรหัส QR Code เริ่มมีบริการภายในประเทศจำนวนมาก เช่น Edy, Rakuten Pay และ Paypay ซึ่งมุ่งเป้าไปที่ผู้อยู่อาศัยในญี่ปุ่น และมักจะใช้งานโดยนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ยาก นอกเหนือจากบริการภายในประเทศแล้ว Alipay, WeChat Pay และ Apple Pay เป็นบริการบางส่วนที่ได้รับการยอมรับมากขึ้น รวมถึงแอป True Money ที่ผูกกับ Alipay สามารถใช้จ่ายได้เช่นกัน


ปัจจุบันร้านแลกเงินสดมีสาขาอยู่มากมายในไทย ทั้งตามห้างสรรพสินค้า สถานีรถไฟฟ้า และสนามบิน โดยอัตราแลกเปลี่ยนค่อนข้างมีราคาดี ใช้เวลาไม่นาน ตัวอย่างร้านแลกเงินที่มีสาขามากมาย เช่น Superrich

ขั้นตอนการซื้อเงินต่างประเทศ

  1. เตรียมเงินสด (บาท) และพาสปอร์ต
  2. แจ้งเจ้าหน้าที่ขอซื้อเงินต่างประเทศ โดยระบุสกุลเงินนั้นแล้วแจ้งจำนวนเงินบาทที่ต้องการแลก
  3. เจ้าหน้าที่จะแจ้งจำนวนเงินสดสกุลต่างประเทศที่สามารถให้ได้ แล้วให้ธนบัตรสกุลนั้นและทอนเงินส่วนต่าง (บาท)

ส่วนการขายเงินต่างประเทศ ใช้กับกรณีต้องการแลกเงินต่างประเทศคืนกลับเป็นเงินบาท สามารถขายธนบัตรสภาพดีเท่านั้น ไม่สามารถขายเหรียญหรือธนบัตรชำรุดได้

บัตร Travel Card จะมีแอปพลิเคชั่นที่ผูกกับบัตรนั้น โดยสามารถแลกเงินเยนหรือสกุลอื่นๆ เก็บไว้ล่วงหน้าได้ตลอดเวลา เมื่อเดินทางไปญี่ปุ่นสามารถกดเงินสดที่ตู้เอทีเอ็มในญี่ปุ่นได้ (ฟรีค่าธรรมเนียมในบางตู้ ตามเงื่อนไขของธนาคารผู้ออกบัตรนั้น) เงินสดที่ได้รับจะหักจากค่าเงินเยนที่แลกไว้ในแอปพลิเคชั่น แล้วเมื่อเดินทางกลับไทยสามารถแลกคืนเป็นเงินบาทกลับเข้าบัญชีได้


10 พิกัดเที่ยวโอซาก้า ด้วยรถไฟใต้ดิน(Osaka Metro)

10 พิกัดเที่ยวโอซาก้า ด้วยรถไฟใต้ดิน(Osaka Metro)

โอซาก้า(Osaka) เมืองท่องเที่ยวที่หลายคนรู้จักกันดี เป็นเมืองที่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่หลากหลาย และกิจกรรมท่องเที่ยวมากมาย มาเที่ยวเมืองเดียวได้ทั้ง กิน เที่ยว ช้อปปิ้ง กันได้แบบครบทุกรสชาติ

การเดินทาง ในเมือง “โอซาก้า” นั้น รถไฟใต้ดิน(Osaka Metro) ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีการเดินทางยอดนิยม เพราะเส้นทางรถไฟใต้ดินครอบคลุมพื้นที่ทั่วเมืองโอซาก้า เดินทางได้อย่างสะดวกสบาย และที่สำคัญยังเป็นวิธีการเดินทางที่ประหยัด ซึ่งถ้าใครมีแพลนใช้รถไฟใต้ดินในการเดินทางหลายเที่ยวในวันเดียว ก็สามารถซื้อบัตรแบบ 1 Day Pass ที่ใช้ขึ้นรถไฟใต้ดินนั่งวนเที่ยวทั่วโอซาก้าได้อย่างไม่อั้น จะขึ้นกี่รอบก็ได้

สำหรับบัตร Osaka Metro(1 Day Pass) เป็นบัตรที่ใช้ขึ้นรถไฟใต้ดินในเมืองโอซาก้าได้ไม่จํากัดตลอดทั้งวัน สามารถซื้อได้ที่เครื่องจําหน่ายตั๋วอัตโนมัติในสถานีรถไฟใต้ดินทุกสถานี สามารถซื้อได้ล่วงหน้า ไม่มีวันหมดอายุ และไม่รวมวันที่ใช้งานในขณะที่ซื้อ โดยบัตรจะถูกพิมพ์เมื่อใส่เข้าไปในประตูตรวจตั๋วในวันที่ใช้งาน(ใช้ได้เฉพาะวันที่พิมพ์หน้าบัตรเท่านั้น)

แนะนำ 10 พิกัดเที่ยว “โอซาก้า” (Osaka) ด้วยรถไฟใต้ดิน (Osaka Metro)

1. “ปราสาทโอซาก้า” (Osaka Castle)

ปราสาทชื่อดังของเมืองโอซาก้า ที่เปรียบเสมือนเป็นแลนด์มาร์คของเมือง สร้างขึ้นประมาณปี ค.ศ. 1583 ตัวปราสาทมีความโดดเด่นสวยงาม ภายใน มีการจัดแสดง พิพิธภัณฑ์ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle Museum) ให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชม ซึ่งในแต่ละชั้น ก็จะมีการจัดแสดงนิทรรศการ ภาพวาด วิดีทัศน์ โมเดลหุ่นจำลอง รวมถึงของใช้ต่างๆ ในสมัยโบราณ โดยสามารถเดินวนชมในแต่ละชั้นได้ ถือเป็นแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ได้อย่างดี

และ เมื่อขึ้นไปถึงชั้นบนสุดที่ระดับความสูง 50 เมตร ก็จะเป็นจุดชมวิวเมืองโอซาก้าได้แบบ 360 องศา สามารถมองเห็นบรรยากาศเมืองโอซาก้าในมุมสูงได้อย่างสวยงาม

● การเดินทาง : สถานี Tanimachi 4-chrome Station
● ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 600 เยน นักเรียนมัธยมต้นและต่ำกว่า ฟรี
● เวลาเปิด : 09.00 น. – 17.00 น.
● พิกัด : https://maps.app.goo.gl/vt3SAvJi2va4KsU88

2. “วัดชิเท็นโนจิ” (Shitennoji Temple)

วัดเก่าแก่ตั้งอยู่ในเมืองโอซาก้าที่มีอายุกว่า 1,400 ปี ถือเป็นวัดศาสนาพุทธที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น โดยภายในวัดจะมีจุดที่น่าสนใจ อย่างเช่น เจดีย์ห้าชั้น, วิหารทองคำและหอธรรม เป็นวัดเก่าที่มีความสวยงาม บรรยากาศสงบ เที่ยวชมได้อย่างเพลิดเพลิน สามารถเดินทางมาได้อย่างสะดวกสบายด้วยรถไฟใต้ดิน

● การเดินทาง : สถานี Shitennoji-mae Yuhigaoka Station
● ค่าเข้าชม : 300 เยน
● เวลาเปิด : 08.30 น. – 16.30 น.
● พิกัด : https://maps.app.goo.gl/x3jRepVTWDWpseZv7

3. “ตลาดคุโรมง” (Kuromon Ichiba Market)

ตลาดปลาใจกลางเมืองโอซาก้า แหล่งรวมอาหารสดมากมาย ไม่ว่าจะเป็นอาหารทะเล ผัก ผลไม้ อาหารแปรรูป มีให้เลือกอย่างครบครัน โดยภายในตลาดจะมีร้านค้าต่างๆเรียงรายไปตามตรอกซอกซอย สามารถเดินชมและเลือกซื้อสินค้าได้ตามต้องการ

ในบรรดาร้านค้าต่างๆ ก็จะมีร้านจำหน่ายอาหารทะเลที่มีบริการปิ้งย่าง หรือ จะทานสดๆ แบบซาชิมิหรือซูชิ ก็ได้เช่นกัน โดยภายในร้านจะมีที่นั่งไว้ให้บริการนั่งทานได้อย่างสบายๆ แนะนำถ้าอยากซื้ออาหารทะเลในราคาพิเศษให้ลองมาเดินเลือกซื้อช่วงที่ร้านใกล้ปิด จะมีโปรโมชั่นลดราคาสินค้าอีกด้วย

● การเดินทาง : สถานี Nippombashi Station
● เวลาเปิด : 08.00 น. – 17.00 น.(แล้วแต่ร้าน)
● พิกัด : https://maps.app.goo.gl/USX6PkUdWVs4o53PA

4. “ตึกอุเมดะสกาย” (Umeda Sky Building)

อาคารสูง 40 ชั้น ในย่านอุเมดะ(Umeda) ซึ่งมีความสูง 173 เมตร ตัวอาคารแบ่งเป็น 2 อาคาร โดยมีทางเชื่อมอยู่ด้านบนระหว่างอาคาร ซึ่งเป็นพื้นที่ของดาดฟ้าที่เรียกว่า Kuchu-Teien Observatory เป็นอีกจุดชมวิวเมืองโอซาก้ายอดนิยม ที่สามารถชมวิวมุมสูงได้แบบ 360 องศา และนอกจากนี้ ภายในอาคารก็ยังมีร้านค้า ร้านอาหาร ที่สามารถมานั่งทานอาหารพร้อมกับชมวิวสวยๆ ได้ โดยเฉพาะในช่วงยามเย็น บรรยากาศดี มองเห็นวิวเมืองโอซาก้าในบรรยากาศพระอาทิตย์ตกได้อย่างสวยงาม

● การเดินทาง : สถานี Umeda Station
● ค่าเข้าชม : 2,000 เยน
● เวลาเปิด : 09.30 น. – 22.30 น.
● พิกัด : https://maps.app.goo.gl/KtgmY6KmsvvpTepG9

5. “HEP FIVE Ferris Wheel”

ชิงช้าสวรรค์สีแดงสดเด่นมองเห็นแต่ไกล ตั้งอยู่บนชั้น 7 ของศูนย์การค้าใหญ่ย่าน Umeda ตัวของชิงช้าสวรรค์มีทั้งหมด 52 กระเช้า มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 75 เมตร ใช้เวลา 15 นาที ในการหมุนแต่ละรอบ โดยจุดสูงสุดจะอยู่ที่ระดับ 106 เมตร เป็นจุดที่สามารถมองเห็นวิวเมืองโอซาก้าได้อย่างสวยงาม และชมวิวเมืองรอบด้านได้แบบ 360 องศา

● การเดินทาง : สถานี Umeda Station
● ค่าเข้าชม : 600 เยน
● เวลาเปิด : 11.00 น. – 22.45 น.
● พิกัด : https://maps.app.goo.gl/DVAxK2LiqreCV5R1A

6. “PORT OF OSAKA” 

กิจกรรมยามเย็น เมื่อมาเที่ยวโอซาก้า ก็ต้องมาเดินเล่นกินลมชมบรรยากาศบริเวณท่าเรือริมอ่าวโอซาก้า และก็ไม่พลาดมาขึ้นชิงช้าสวรรค์ ชมวิวมุมสูงที่ Tempozan Giant Ferris Wheel ชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ที่มีความสูง 112.50 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 100 เมตร โดยจะใช้เวลาหมุน 15 นาทีในแต่ละรอบ 

เมื่อขึ้นไปยังจุดสูงสุด ก็สามารถมองเห็นวิวบรรยากาศบริเวณท่าเรือได้แบบ 360 องศา ชมวิวอ่าวโอซาก้าได้อย่างเพลินๆ โดยเฉพาะในช่วงยามเย็นพระอาทิตย์ตก จะสวยงามมาก

● ที่อยู่ : สถานี Osakako Station
● ค่าเข้าชม : 800 เยน
● เวลาเปิด : 10.00 น. – 22.00 น.
● พิกัด : https://maps.app.goo.gl/VzNVQw3bHPrXE59W6

7. “โดทงโบริ” (Dotonbori)

ย่านช้อปปิ้งใจกลางเมืองโอซาก้าที่หลายคนรู้จักกันดีกับจุดเช็คอินถ่ายรูปกับป้ายกูลิโกะ ซึ่งเป็นย่านช้อปปิ้งที่เต็มไปด้วย ร้านค้า ร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร บรรยากาศคึกคักไปด้วยผู้คนมากมาย 

ภายใน “โดทงโบริ” มีร้านอาหารและสารพัดเมนูให้เลือกชิมเพียบ ซึ่งเมนูที่พลาดไม่ได้ เมื่อมาที่ย่านนี้ ก็คือ “ทาโกะยากิ” (Takoyaki) ที่มีให้เลือกชิมอยู่หลายร้าน โดยในแต่ละร้านก็จะมีรูปแบบและรสชาติที่แตกต่างกันไป เป็นเมนูที่ใครมาถึงที่นี่แล้วต้องลองชิม

● การเดินทาง : สถานี Namba Station
● พิกัด : https://maps.app.goo.gl/v7qmTtUBcybssn4F9

8. “หอคอยทสึเท็นคาคุ” (Tsutenkaku Tower)

หอคอยสัญลักษณ์แห่งเมืองโอซาก้า มีความสูง 103 เมตร สร้างขึ้นโดยมีต้นแบบมาจากหอไอเฟล(Eiffel Tower) ของ เมืองปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยด้านบนของหอคอย สามารถขึ้นไปชมวิวมุมสูงของเมืองโอซาก้าได้แบบ 360 องศา โดยมีลิฟต์ให้บริการพาขึ้นบนหอคอยอย่างสะดวกสบาย

นอกจากจุดชมวิวที่ถือเป็นไฮไลต์แล้ว ก็ยังมีส่วนของการจัดนิทรรศการประวัติความเป็นมาของหอคอยแห่งนี้ รวมถึงประวัติศาสตร์เมืองโอซาก้าในอดีต และยังมีส่วนของ ร้านค้า ร้านขายขนมและของที่ระลึก ไว้ให้เลือกซื้อกลับไปเป็นของฝากอีกด้วย

● การเดินทาง : สถานี Ebisucho Station
● ค่าเข้าชม : 1,000 เยน
● เวลาเปิด : 10.00 น. – 20.00 น.
● พิกัด : https://maps.app.goo.gl/F7w8gHmWZSgiYvEw5

9. “Shinsekai”

ย่านแหล่งกินดื่มยามค่ำคืนของเมืองโอซาก้า ที่เต็มไปด้วยร้านอาหารมากมาย โดดเด่นด้วยแสงสีจากป้ายไฟ บรรยากาศคึกคักไปด้วยผู้คนที่ออกมาเดินเล่น และหาอาหารทานกัน 

ซึ่งเมนูยอดนิยมของที่นี่ ก็คือ คุชิคัตสึ (Kushikatsu) เมนูของทอดเสียบไม้สไตล์ญี่ปุ่น ที่จะใช้เนื้อสัตว์และผักชนิดต่างๆ มาหั่นเป็นชิ้นเสียบไม้ แล้วนำไปชุบแป้งทอด เวลาทานต้องจิ้มหรือราดซอสที่มีรสชาติเข้มข้นด้วย โดยจะเสิร์ฟมาพร้อมกับกะหล่ำปลีหั่นเป็นเครื่องเคียง เป็นเมนูที่ห้ามพลาดอย่างยิ่ง

● การเดินทาง : สถานี Ebisucho Station
● พิกัด : https://maps.app.goo.gl/Axw6UajR7PU33SCo8

10. “teamLab Botanical Garden Osaka”

นิทรรศการศิลปะดิจิตัล ที่จัดในสวนสาธารณะนากาอิ(Nagai Park) เป็นนิทรรศการการจัดแสดงที่ผู้เข้าชมจะตื่นตาตื่นใจไปกับผลงานศิลปะอันล้ำสมัย ทั้งระบบแสง สี เสียง โดยใช้เทคโนโลยีการฉายภาพ การตรวจจับการเคลื่อนไหวของสิ่งแวดล้อม ที่ให้ความรู้สึกราวกับว่าผู้เข้าชมได้มีส่วนร่วมไปกับผลงานนั้นๆ โดยภายในจะแบ่งออกเป็นโซนต่างๆ ให้เที่ยวชมได้อย่างสนุกและเพลิดเพลิน

● การเดินทาง : สถานี Nagai Station 
● ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 2,000 เยน เด็ก 600 เยน
● เวลาเปิด : 19.45 น. – 21.30 น.
● พิกัด : https://maps.app.goo.gl/S7JWeTb5SUB21b5y5

ชมไฮเดรนเยีย & ลาเวนเดอร์ ริมทะเลสาบ Kawaguchiko

ชมไฮเดรนเยีย & ลาเวนเดอร์ ริมทะเลสาบ Kawaguchiko

วันนี้ (22/7/2024) แอด เดินทางจากฮอกไกโดลงมาจังหวัด Yamanashi เป็นการปิดทริปชมดอกไม้ที่ทะเลสาบ Kawaguchiko

แผนเที่ยวที่วางไว้ตั้งแต่แรกคือ เดินไฮกิ้งชมดอกไฮเดรนเยีย 100,000 ต้น บนภูเขา Mount Tenjo (天上山) แต่ต้องยกเลิกเนื่องจากเจ้าหน้าที่แจ้งว่าตั้งแต่นี้ Mount Tenjo ไม่ใช่แหล่งชมไฮเดรนเยียที่มีชื่อเสียงอีกต่อไป เพราะไฮเดรนเยีย100,000 ต้นบนภูเขาถูกหิมะทำลายไปเกือบหมด … แอดเลยเปลี่ยนแผนมาชมดอกไม้ที่ริมทะเลสาบ Kawaguchiko แทน

แอดนั่งรถบัสไปชมไฮเดรนเยียกับลาเวนเดอร์ที่สวน Oishi Park (大石公園) และ Yagizaki Park (八木崎公園) แน่นอนแม้ดอกไม้ทั้งสองสวนจะเลยจุดพีคไปแล้วแต่ก็ยังพอมีบางส่วนที่ยังสวยอยู่

ภาพถ่ายเมื่อวันที่ 23/7/2024

ชื่อสถานที่ : Oishi Park (大石公園)
พิกัด : 35.522944,138.745300
ค่าเข้าชม : ฟรี
การเดินทาง : จากสถานี Kawaguchiko นั่ง Retro bus สายสีแดงลงป้ายหมายเลข 20 Kawaguchiko National Living Center (Kawaguchiko Shizen Seikatsu-kan 河口湖自然生活館)

ชื่อสถานที่ : Yagizaki Park (八木崎公園)
พิกัด : 35.511796,138.755065
ค่าเข้าชม : ฟรี
การเดินทาง : จากสถานี Kawaguchiko นั่ง Retro bus สายสีเขียวลงป้ายหมายเลข 24 Yagisaki Park (八木崎公園)

1 วัน เที่ยว “นารา” เมืองที่เต็มไปด้วยกวาง เที่ยวง่าย เดินทางสะดวก จาก โอซาก้า วันเดียวก็เที่ยวได้

1 วัน เที่ยว “นารา” เมืองที่เต็มไปด้วยกวาง เที่ยวง่าย เดินทางสะดวก จาก โอซาก้า วันเดียวก็เที่ยวได้

ถ้าพูดถึงเมือง นารา(Nara) ก็ต้องนึกถึง “กวาง” สัตว์ที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของเมืองนารา ที่ใครได้มีโอกาสมาเที่ยวชมเมืองนี้ ก็จะได้พบกับฝูงกวางจำนวนนับพันที่ใช้ชีวิตอย่างอิสระ เป็นบรรยากาศการท่องเที่ยวที่หลายคนอยากมาสัมผัส ได้มาเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ พร้อมได้ถ่ายรูปเล่นกับกวางหรือลองให้อาหารกวาง เป็นกิจกรรมท่องเที่ยวที่น่าสนใจดี

นารา(Nara) เป็นอีกเมืองท่องเที่ยวยอดนิยม ที่อยู่ไม่ไกลจาก โอซาก้า(Osaka) สามารถนั่งรถไฟไปเที่ยวได้อย่างง่ายๆ ใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมง เท่านั้น ไปเที่ยวแบบไปเช้า-เย็นกลับ ได้อย่างสบาย มีเวลาวันเดียวก็เที่ยว “นารา” ได้

การเดินทางด้วยรถไฟ จากเมือง “โอซาก้า” นั่งรถไฟสาย Kintetsu Nara Line ไปลงที่สถานีรถไฟ Kintetsu-Nara Station ใช้เวลาเดินทาง 35 นาที(ค่าโดยสาร 680 เยน) ซึ่งรถไฟ Kintetsu Nara Line ในบางขบวนก็จะมีการตกแต่งเป็นธีมน้องกวางน่ารักๆ โดยทั้งขบวนรถไฟจะเต็มไปด้วยลวดลายของน้องกวาง ไม่ว่าจะเป็นที่ ประตู หน้าต่าง เบาะที่นั่ง ราวจับ ต่างก็เป็นลายน้องกวาง ชวนให้น่านั่งเป็นอย่างมาก

เมื่อเดินทางมาถึงสถานีปลายทางที่เมือง นารา(Nara) เดินออกมากจากสถานีรถไฟต่อไปไม่ไกล ก็จะเริ่มพบเห็นกวางออกมาทักทาย โดยเฉพาะที่ สวนสาธารณะนารา(Nara Park) อันเป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญของเมืองนารา ซึ่งที่นี่ก็จะได้พบกับบรรดาฝูงกวางนับพันตัวกระจายตัวอยู่รอบบริเวณ เดินไป เดินมา ใช้ชีวิตอย่างอิสระ พบเห็นได้ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นตามสวนสาธารณะ ฟุตบาท ทางเดิน หรือ ตามมุมต่างๆ โดยรอบของสวนแห่งนี้

ภายใน สวนสาธารณะนารา(Nara Park) มีจุดจำหน่ายอาหารกวาง สำหรับคนที่อยากให้อาหารน้องกวางด้วย โดยจำหน่าย ชุดละ 200 เยน สามารถนำอาหารไปให้กวางได้อย่างใกล้ชิด แต่ก็ต้องใช้ความระมัดระวังไม่ให้กวางกัดหรือแย่งสิ่งของด้วยนะ

สำหรับจุดท่องเที่ยวที่สำคัญของเมืองนารา(Nara) ที่ใครๆ ก็ต้องเข้ามาเที่ยวชม ก็คือ วัดโทไดจิ(Todai-ji) วัดเก่าแก่ในศาสนาพุทธ ที่มีพระพุทธรูปหลวงพ่อโต(หรือ ไดบุตสึ) ขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น โดยประดิษฐานในวิหารไม้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เป็นวัดเก่าแก่อายุกว่า 1,200 ปี ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้านวัฒนธรรมจากยูเนสโก

ทางเข้าสู่ “วัดโทไดจิ” จะเป็นซุ้มประตูขนาดใหญ่ ที่มีสถาปัตยกรรมสวยงาม เมื่อผ่านประตูเข้าไปก็จะพบกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย โดยเฉพาะนักเรียนที่เข้ามาทัศนศึกษา รวมถึงนักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศที่แวะเวียนเข้ามาเที่ยวชมอย่างไม่ขาดสาย

ภายใน “วัดโทไดจิ” จะมีวิหารไม้ขนาดใหญ่ อันเป็นที่ประดิษฐานของ “ไดบุตสึ” พระพุทธรูปองค์ใหญ่ ที่มีความสูงราว 15 เมตร และหนักราว 500 ตัน และมีรูปปั้นโพธิสัตว์ อยู่ด้านหลังของพระพุทธรูปไดบุตสึด้วย

อีกจุดน่าสนใจของ “วัดโทไดจิ” ก็คือ เสาไม้ขนาดใหญ่ ของวิหารไม้ ที่บริเวณตรงโคนเสาด้านล่างจะเป็นช่องขนาดเล็ก ซึ่งมีความเชื่อว่า.. “ถ้าใครสามารถลอดผ่านช่องเสาขนาดเล็กนี้ไปได้ ก็จะเป็นผู้ที่ตรัสรู้ได้ในชาติหน้า” จึงเป็นจุดที่มีนักท่องเที่ยวมารอต่อแถวลองลอดช่องของเสากันเยอะเป็นพิเศษ ซึ่งถ้าใครได้มีโอกาสมาเที่ยว “วัดโทไดจิ” ก็ลองมาลอดช่องนี้กันได้

ห่างจาก วัดโทไดจิ(Todai-ji) ไปไม่ไกล เดินมาเที่ยวต่อที่ วัดโคฟุคุจิ(Kofuku-ji) วัดในศาสนาพุทธ ที่มีความเก่าแก่กว่า 1,300 ปี ตั้งแต่ยุคสมัยที่นาราเป็นเมืองหลวง เป็นวัดประจำตระกูล Fujiwara ตระกูลขุนนางใหญ่ที่ทรงอิทธิพลในสมัยนั้น โดยจุดเด่น ของ วัดโคฟุคุจิ(Kofuku-ji) คือ เจดีย์ 5 ชั้น ที่มีความสูงถึง 50 เมตร ซึ่งสูงเป็นอันดับสองของประเทศญี่ปุ่น 

นอกจากนี้ เมืองนารา(Nara) ก็ยังมี จุดเช็คอิน จุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจอื่นๆ ให้ได้เลือกเที่ยวชม เป็นเมืองที่เที่ยวง่าย เดินทางได้สะดวกด้วยระบบขนส่งสาธารณะอย่าง รถไฟ เดินทางได้ง่าย จาก โอซาก้า ใครมีโอกาสไปเที่ยว “โอซาก้า” ก็อย่าลืมใส่เมือง “นารา” เข้าไปในลิสแพลนท่องเที่ยวได้เลย!