วัดดังในญี่ปุ่นที่พลาดไม่ได้

สายมูมาทางนี้ ไหว้พระวัดดังในญี่ปุ่นที่ไม่ควรพลาด

ในประเทศญี่ปุ่นมีวัดและศาลเจ้าที่เป็นที่พึ่งพิงทางจิตใจของชาวญี่ปุ่นมากมายประมาณ 58,000 แห่ง กระจายอยู่ทั่วทั้งเกาะ วัดแต่ละแห่งนอกจากจะเป็นที่พึ่งทางใจแล้วก็ยังมีความสงบร่มรื่นสบายตา มีมนต์เสน่ห์ และมีธรรมชาติที่สวยงาม ถือว่ามาเพื่อได้สักการะขอพรเพื่อให้สมดังใจแล้ว ยังได้เยี่ยมชมประติมากรรมอันงดงามของวัดแต่ละแห่งอีกด้วย

วันนี้เรานำเสนอวัดดังที่ใครมาญี่ปุ่นต้องไป มาดูกันว่าแต่ละแห่งจะมีเรื่องราวอะไรที่พิเศษยังไงกันบ้าง

ศาลเจ้าโตเกียว (Tokyo Daijingu)

Japanese Temple

ใครโสดยกมือขึ้น อกหักรักคุดตุ๊ดเมิน เดินมาที่นี่เลยจ้า ศาลเจ้าอันดับ 1 ที่ใครๆก็มาขอแฟนกัน Tokyo Daijingu ยืนหนึ่งเรื่องความศักดิ์และสมหวังในการขอพรในเรื่องขอความรัก ศาลเจ้านี้ตั้งอยู่ในย่าน Idabashi ใจกลางกรุงโตเกียว ดูจากภายนอกเหมือนจะเป็นศาลเจ้าเล็กๆ แต่เดินเข้าไปข้างในแล้วจะรู้สึกว่า

เฮ้ยย ไม่น่าเชื่อเลยผู้คน หนุ่มสาวต่างหลั่งไหลเดินเข้าออกไม่ขาดสาย เนื่องจากใครขอพรก็สมดั่งขอทุกรายจึงเป็นที่กล่าวถึงกันมากมาย แถมยังเป็นสถานที่จัดพิธีแต่งงานตามนิกายชินโตของญี่ปุ่นในศาลเจ้าอีกด้วย

วัดโคโตะกุอิน (Kotokuin Temple)

Great Buddha of Kamakura

พระใหญ่แห่งเมืองคามาคุระ จังหวัดคานางาวะ พระใหญ่ไดบุตสึ (Kamakura Daibutsu) มีอายุเก่าแก่กว่า 800 ปี มีความสูง 13.35 เมตร น้ำหนัก 95 ตัน เป็นพระพุทธรูปที่ใหญ่เป็นอันดับสองในญี่ปุ่น นอกจากชมความงดงามขององค์พระแล้วเรายังสามารถเข้าชมด้านหลังองค์พระได้อีกด้วย บริเวณรอบๆวัดนั้นร่มรื่นน่าเดินเล่นมากๆ สัญลักษณ์สำคัญของวัดแห่งนี้คือโคมแดงอันใหญ่ๆ ที่เห็นได้ชัดเจนเมื่อเข้ามาภายในวัด ซึ่งมักจะมีผู้คนเดินทางเข้ามาสักการะ และเที่ยวชมกันมากมายแบบไม่ขาดสายเลย

การเดินทาง : นั่งรพไฟ JR Yokosuka Line มาลงที่สถานี Kamakura Station แล้วต่อรถไฟ Enoshima Electric Railway ไปลง Hase Station และเดินต่ออีกประมาณ 10 นาที

วัดเซนโซจิ (Sensoji Temple)

Japan. Tokyo. Asakusa Temple at night. Tourists on Asakusa street. Tourists in night Tokyo. People near the Buddhist pagoda. Pagoda at Sensoji Temple. Tours in Tokyo. Traveling in Japan.

วัดเซนโซจิ หรือที่นิยมเรียกกันว่า วัดอาซากุสะ หรือวัดโคมแดง (Asakusa Kannon Temple) ตั้งอยู่ในย่านอาซากุสะ วัดที่เก่าแก่มีประวัติความเป็นมายาวนานตั้งแต่ปี ค.ศ. 645 เป็นวัดทางศาสนาพุทธที่เก่าแก่ที่สุดในย่านคันโต และเป็นที่นิยมมากที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองโตเกียว จุดเด่นของวัดคือ โคมแดงขนาดใหญ่แขวนเอาไว้ ที่ด้านล่างของโคมแดงจะมีรูปสลักไม้มังกรอยู่ มีความเชื่อว่าถ้าเอามือลูบแล้วจะสุขภาพดี

ด้านประตูนากามิเซะ จะเจอโซนกระถางธูปเพื่อสักการะให้กวักควันธูปเข้าตัวตามความเชื่อว่าจะนำความโชคดีเข้าหาตัวเรา อาคารหลังในก็จะเป็นที่ตั้งของเจ้าแม่กวนอิม ตามตำนานบอกว่ามีชาวประมง 2 พี่น้องออกไปจับปลา แต่หาปลาไม่ได้เลย จึงอธิษฐานขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้จับปลาได้ แต่เมื่อเหวี่ยงแหลงไปก็ได้เจ้าแม่กวนอิมทองคำสูงประมาณ 5 นิ้วขึ้นมาแทน จึงได้นำกลับมาที่หมู่บ้านแล้วสร้างเป็นวัดในเวลาต่อมา

ความงดงามของวัดเป็นที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาไม่ขาดสาย ถนนหนทางที่จะเข้าภายในวัดก็เต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย ถือเป็นจุดเช็คอินที่คึกคักมากเป็นพิเศษกว่าวัดอื่นๆ

การเดินทาง : นั่งรถไฟใต้ดินสายกินซ่า (Ginza) และสายโทบุ (Tobu Sky tree) มาลงที่สถานีอาซากุสะ (Asakusa) เมื่อออกจากสถานีแล้วเดินต่ออีกประมาณ 5 นาที

วัดนันโซอิน (Nanzoin temple)

เป็นวัดนี้ยังไม่เป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยวเท่าไหร่นัก ตั้งอยู่ในเมืองซาซะกุริ (Sasaguri) จังหวัดฟูกุโอกะ (Fukuoka) ซึ่งเป็นคล้ายๆเมืองรองในการไปท่องเที่ยว มาดูกันดีกว่าว่าวัดนี้มีอะไร

The Nehanzo of Nanzoin Temple in Fukuoka, Japan.

ภายในวัดนี้มีอะไรที่น่าสนใจมากมาย ค่อยๆเดิมชมกันนะคะ อย่างแรกที่สะดุดตาเลยคือ พระพุทธรูปทองสำริดขนาดใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ถ้าเป็นคนไทยจะเรียกว่าเป็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์ คือพระพุทธรูปที่อยู่ในท่าบรรทม ขนาดขององค์พระใหญ่ประมาณเนินเขาเล็กๆลูกหนึ่งเลยทีเดียวเพราะมีความยาว 41 เมตร สูง 11 เมตร หนักถึง 300 ตัน

Bronze buddha statue in Nanzo-in Temple, Fukuoka, Japan
Nanzo-in Temple in Fukuoka, Japan

และนอกจากพระองค์ใหญ่ที่ดึงดูดนักแสวงบุญที่มาในแต่ละปีกว่าหนึ่งล้านคนแล้วคือ วัดนี้เป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางแสวงบุญของนิกายชินกอน ของทาง Kobo Daishi มีระยะทาง 44 กม.ต้องใช้เวลาเดิน 3 วัน ทางวัดเปิดให้เข้าชมฟรี ไม่มีวันหยุด

การเดินทาง จากสถานีรถไฟฮากาตะ นั่งรถไฟสาย JR Sasaguri Line ไปลงที่สถานี Kido Nanzoin-mae ใช้เวลาประมาณ 20 นาที และเดินต่ออีกประมาณ 5 นาที ก็ถึงวัดแล้วค่ะ

วัดโทไดจิ (Todaiji)

วัดโทไดจิแห่งนารา ชื่อ Todaiji แปลว่า มหาวิหารตะวันออก วัดนี้มีเชื่อเสียงระดับโลกของญี่ปุ่นมีประวัติยาวนานมากสร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 752 สมัยที่นาราเป็นเมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่น ก่อนที่จะย้ายไปเป็นเกียวโต มีอายุกวว่า 1,200 ปี เก่าแม่มากจนได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโก

วัดนี้ก็มีเหตุการณ์ไฟไหม้เมื่อในอดีต และได้มีการบูรณะก่อสร้างวิหารขึ้นใหม่ ในปัจจุบันเรียกว่า วิหารไดบุทสึเด็น (Daibutsuden Hall) เป็นที่ประดิษฐานของพระไดบุตสึ หรือที่เรียกกันว่า หลวงพ่อโตแห่งนารา อย่างไรก็ตาม วิหารนี้ก็ถือเป็นวิหารไม้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ดี ปัจจุบันวัดแห่งนี้เป็นสถานที่เก็บสมบัติชาติที่สำคัญหลายชิ้นด้วยกัน วัดนี้เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของเมืองนาราคอยต้อนรับผู้คนที่มาเยือนทุกท่านค่ะ

วัดคินคะคุจิ หรือวัดทอง (Kinkakuji Temple)

วัดคินคะคุจิ เป็นวัดที่เป็นแลนด์มาร์กของเกียวโตเลยทีเดียว วัดนี้คนไทยรู้จักกันในนามของวัดทองเกียวโต ด้วยความโดดเด่นที่เป็นสถาปัตยกรรมศิลปะของ Golden Pavilion ที่งดงาม บรรยากาศที่รายล้อมดูสงบและภูมิทัศน์ที่สุดแสนจะประทับใจเมื่อได้มาเยือน

ที่นี่มีประวัติความเป็นมายาวนานแต่เราจะเล่าคร่าวๆให้ฟังเริ่มที่ชื่อของวัดเลย สาเหตุที่วัดได้ชื่อว่าวัดทองเกียวโต ไม่ใช่ว่าตัววัดสร้างจากทองคำนะคะ วัดนี้สร้างจากไม้มีความเก่าแก่ สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1397 เพื่อใช้เป็นที่พำนักของโชกุน มีความสูงถึง 12.5 เมตร นอกจากใช้เป็นที่พำนักของโชกุนแล้ว ยังเป็นสถานที่ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองอีกด้วยภายหลังจึงกลายเป็นวัดในปัจจุบัน และด้วยความสวยงามจึงกลายเป็นต้นแบบของวัด Gingakuji หรือวัดเงิน ในเวลาต่อมา

แต่มีช่วงหนึ่งที่วัดถูกไฟไหม้อันเนื่องมากจากสงคราวโอนิน ช่วงปี ค.ศ.1467-1477 แต่ครั้งที่เสียหายหนักคือตัว Golden Pavilion ได้ถูกเผาไหม้จนไม่เหลือซาก ดังนั้นทางวัดคินคะคุจิในปัจจุบันเป็นอาคารที่ถูกสร้างขึ้นให้แต่ยังรักษาเอกลักษณ์ดั้งเดิมไว้และบูรณะอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะการใช้แผ่นทองมาบูรระจึงงดงามอย่างที่เห็น ใน ค.ศ. 1994 ก็ได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโก้ ให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่มีความสำคัญกับคนญี่ปุ่น

Hill of the Buddha

เนินแห่งพระพุทธเจ้า (Hill of the Buddha)

The Hill of the Buddha หรือเนินเขาแห่งพระพุทธเจ้า นี้ตั้งอยู่ภายในพื้นที่ของสุสาน Takino Cemetery ที่เมืองซัปโปโร (Sapporo) จังหวัดฮอกไกโด (Hokkaido) ประเทศญี่ปุ่น ที่เปิดให้เข้าชมได้เมื่อปลายปี 2015 และถือเป็นสถานที่เที่ยวแห่งใหม่ของเมืองซัปโปโรอีกด้วย

เมื่อคุณเดินเข้ามาภายในเราจะเห็นอุโมงค์ที่มีความยาว 40 เมตร สระน้ำและทางเดินนำสายตาเข้าไป เมื่อเดินไปจนถึงจุดที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่อยู่บริเวณปลายทางของอุโมงค์ ความโดดเด่นเห็นมาแต่ไกล เมื่อเข้ามายืนแหงนหน้าขึ้นฟ้า โอ้โห!! องค์ท่านใหญ่มากเลยค่ะ พระพุทธรูปที่มีความสูงถึง 13.5 เมตร และมีน้ำหนักมากถึง 1,500 ตัน ที่ครอบไว้ด้วยโดมทรงกลม พื้นที่ที่ล้อมรอบจะมีค่อยๆลาดลงเสมือนอยู่ใต้ดิน เป็นผลงานการสร้างของทาดาโอะ อันโดะ (Tadao Ando) สถาปนิกชาวญี่ปุ่น เจ้าของรางวัลพริตซ์เกอร์ที่สุดของรางวัลสถาปนิก เป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างสถาปัตยกรรมกับความงามจากธรรมชาติ ถือเป็นสุดยอดสถาปัตยกรรมที่หาดูได้ยากจริงๆ

Hill of the buddha in Hokkaido,Japan designed by Tadao Ando with nice blue sky and reflecting pond

ในช่วงฤดูหนาวแบบนี้ จะมีหิมะตกปกคลุมองค์พระและทั่วบริเวณโดยรอบ เป็นความสวยงามที่ดูแปลกตา แต่ถ้าเป็นในช่วงฤดูร้อนก็จะสามารถเห็นต้นลาเวนเดอร์จำนวนกว่า 150,000 ต้น ล้อมรูปปั้นเนินพระพุทธรูปแห่งนี้

An exterior of The Hill of the buddha in Hokkaido,Japan designed by Tadao Ando with nice blue sky and a lavander field.

ภายในยังมี ร้านกาแฟ และร้านอาหารเล็กๆ ไว้บริการด้วยค่ะ

ค่าเข้าชม: 300 เยน/คน
ช่วงเดือน เมษายน – ตุลาคม เปิด 9.00 – 16.00 น.
ช่วงเดือน พฤศจิกายน – มีนาคม เปิด 10.00 – 15.00 น.

การเดินทาง : รถไฟใต้ดิน Numboku Line จากสถานี Sapporo มาลงที่สถานี Makomanai ใช้เวลาเดินทางประมาณ 18 นาที ค่ารถไฟ 290 เยน เดินออกฝั่งซ้ายทางด้านทิศใต้ ต่อรถบัส ที่ป้ายหมายเลข 2 ค่าโดยสาร 380 เยน ใช้เวลาประมาณ 25 นาที ลงที่ป้ายสุดท้ายเลยค่ะ

ที่ตั้ง : Takino, Minami Ward, Sapporo, Hokkaido 005-0862 ญี่ปุ่น

พิกัด : https://goo.gl/maps/ikCTdcBGAzSv5hVt8

JR PASS (Japan Rail Pass) or JR Nationwide Pass (ตั๋วรถไฟใช้ได้ทั่วประเทศญี่ปุ่น)

JR PASS (Japan Rail Pass) or JR Nationwide Pass (ตั๋วรถไฟใช้ได้ทั่วประเทศญี่ปุ่น) เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางไกลข้ามภูมิภาคในประเทศญี่ปุ่น ให้สิทธิ์สำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่นวีซ่าแบบชั่วคราวสามารถพำนักอยู่ในประเทศญี่ปุ่น 15 วัน/90 วันเท่านั้น ตั๋วชนิดนี้ใช้รถไฟในเครือของบริษัท JR ทั่วประเทศญี่ปุ่นได้โดยไม่จำกัดครั้ง ภายใน 7 วัน, 14 วัน และ 21 วันแบบต่อเนื่อง

*** ตั๋ว JR PASS (JAPAN RAIL PASS) แบบ 7,14 และ 21 วัน ที่ออก JR Exchange Voucher กับทางบริษัท ไม่สามารถจองที่นั่ง Online ผ่านเว็ปไซด์ https://japanrailpass.net/th ได้นะคะ หากต้องการจองที่นั่ง ต้องไปจองที่เคาน์เตอร์ JR ที่ประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น!!!***

คลิ๊กที่ภาพเพื่อขยาย

map-jprp

ชนิดและราคาของ JR PASS (Japan Rail Pass)

JR PASS (Japan Rail Pass) แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ แบบ Ordinary(รถไฟชั้นธรรมดา) และแบบ Green(รถไฟชั้น1 ที่นั่งกว้างกว่า) แต่ละชนิดจำหน่ายตั๋วสำหรับการใช้งาน 7 วัน, 14 วัน และ 21 วัน

GREEN – รถไฟชั้น 1

7-DAYS ผู้ใหญ่ 70,000 เยน
เด็ก(6-11 ปี) 35,000 เยน
14-DAYS ผู้ใหญ่ 110,000 เยน
เด็ก(6-11 ปี) 55,000 เยน
21-DAYS ผู้ใหญ่ 140,000 เยน
เด็ก(6-11 ปี) 70,000 เยน

ORDINARY PASS – รถไฟธรรมดา

7-DAYS ผู้ใหญ่ 50,000 เยน
เด็ก(6-11 ปี) 25,000 เยน
14-DAYS ผู้ใหญ่ 80,000 เยน
เด็ก(6-11 ปี) 40,000 เยน
21-DAYS ผู้ใหญ่ 100,000 เยน
เด็ก(6-11 ปี) 50,000 เยน

*ราคาข้างต้นเป็นสกุลเงินเยน ค่าใช้จ่ายจริงจะเป็นไปตามสกุลเงินท้องถิ่นของประเทศนั้นๆ(บาท) ราคาตั๋วอาจมีการเปลี่ยนแปลง  คุณลูกค้าสามารถสอบถามข้อมูลการเดินทาง และ ราคาพาสต่างๆที่อัพเดท ได้ที่ บริษัท เจแปน ออล พาส จำกัด ( Japan All Pass Co.,Ltd. )* 

ข้อแตกต่างระหว่างรถไฟชั้น 1(Green) กับ รถไฟชั้นธรรมดา(Ordinary)


แบบ Green หรือ รถไฟชั้น 1 จะมีที่นั่งกว้างกว่าแบบ Ordinary ชั้นธรรมดา และผู้โดยสารมักจะมีจำนวนน้อยกว่า ข้อแนะนำสำหรับนักท่องเที่ยว หากต้องการความหรูหราสะดวกสบายไม่แออัดให้เลือกนั่งรถไฟชั้น 1 นักท่องเที่ยวที่ซื้อตั๋ว Ordinary หากต้องการอัพเกรดไปนั่ง Green จะมีค่าใช้จ่ายต่างหากซึ่งราคาค่อนข้างสูงมาก

20160309_155658

ที่นั่งแบบรถไฟชั้นธรรมดา(Ordinary)

20160305_135216

ที่นั่งแบบรถไฟชั้น 1(Green)

สถานที่ซื้อ


สำหรับตั๋ว JR PASS (Japan Rail Pass) นักท่องเที่ยวต้องสั่งซื้อตั๋วชนิดนี้นอกประเทศญี่ปุ่นผ่าน บริษัท เจแปน ออล พาส จำกัด ( Japan All Pass Co.,Ltd. ) ก่อนเข้าประเทศญี่ปุ่น แล้วจึงนำเอกสาร Exchange Order มาแลกเปลี่ยนเป็นตั๋วตัวจริงเมื่อเดินทางมาถึงประเทศญี่ปุ่น ในส่วนของ Exchange Order จะมีอายุในการแลกเปลี่ยนเป็นตั๋วตัวจริงภายใน 90 วันหลังจากวันที่ทำการออก Exchange Order ซึ่งวันที่ออกเอกสาร Exchange Order จะมีระบุอยู่ด้านในของเอกสาร

voucher-jr

Exchange Order ที่ได้รับเมื่อซื้อตั๋วผ่านเอเจนซี่ท่องเที่ยวนอกประเทศญี่ปุ่น

การใช้งาน


1.รถไฟ JR
สามารถใช้กับรถไฟ JR Group Railways-Shinkansen ได้ทั่วประเทศ รวมทั้ง Shinkansen, limited express trains, express trains, rapid และ local trains

2.รถไฟ Aoimori Railways เดินทางระหว่าง Aomori กับ Hachinohe
ผู้ใช้สามารถลงได้เพียง 3 สถานี คือ Aomori, Noheji และ Hachinohe รวมถึงการเดินทางไปยังคาบสมุทรชิโมคิตะ (Shimokita Peninsula) ด้วย

3.รถไฟโมโนเรลไปกลับ Haneda Airport-Tokyo

4.ใช้ได้เฉพาะเรือเฟอร์รี่ข้ามฟาก JR Miyajima ferry เท่านั้น *(ไม่ครอบคลุมเรือเฟอร์รี่ JR Hakata-Pusan(Korea))

5.รถบัสประจำทาง JR
ใช้ได้กับรถบัสประจำทางท้องถิ่นของบริษัท JR *(ไม่รวมรถบัสhighway) ได้แก่
– ยามากูจิ(Yamaguchi)–ฮากิ(Hagi)
– สถานีเกียวโต(Kyoto Station)–เรียวอันจิ(Ryoanji)–ทาคาโอะ(Takao)
– สถานีคานาซาว่า(Kanazawa Station)–เคนโรคุเอน(Kenrokuen)
– รถบัส JR ไปยัง ทะเลสาบโทวาดะ(Lake Towada)
– รถบัสนักท่องเที่ยว(tourist loop bus)ในเมืองฮิโรชิม่า(Hiroshima)
– รถบัส(city bus)รอบๆเมืองซัปโปโร(Sapporo)
– รถบัสJRท้องถิ่นไปยังคุซาสึออนเซน(Kusatsu Onsen)

 

***ข้อจำกัดการใช้งานที่ตั๋ว  Japan Rail Pass ที่ไม่ครอบคลุมรถไฟและเส้นทางดังต่อไปนี้***


  • รถไฟขบวน Nozomi Trains
    ผู้ใช้ตั๋ว JR สามารถใช้รถไฟ Hikari Trains ในเส้นทางเดียวกันแทนได้ ซึ่งจะช้ากว่าเล็กน้อย
    หากต้องการใช้บริการรถไฟ Nozomi Trains จะต้องจ่ายราคาเต็ม
  • รถไฟขบวน Mizuho Trains
    ผู้ใช้ตั๋ว JR สามารถใช้รถไฟ Sakura Trains ในเส้นทางเดียวกันแทนได้ ซึ่งจะช้ากว่าเล็กน้อย
    หากต้องการใช้บริการรถไฟ Mizuho Trains จะต้องจ่ายราคาเต็ม
  • รถไฟ JR Trains บางสาย
    มีประมาณ 12 สายที่ไม่สามารถใช้ตั๋ว JR Pass ได้ *(รถไฟ Non-JR Track)
  • ช่องและชานชาลาพิเศษ
    ชานชาลาของรถไฟกลางคืนไม่สามารถใช้ตั๋ว JR Pass ได้
  • รถไฟที่ต้องใช้ตั๋วไลเนอร์(Liner Ticket)
    รถไฟในแถบชานเมืองของเครือข่าย JR เช่น Home Liner  ยกเว้น Marine Liner, Seaside Liner และ Ishikari Liner สามารถใช้ตั๋ว JR Pass ได้
  • รถบัสทางหลวง(Highway Buses)

สิทธิพิเศษเพิ่มเติมสำหรับตั๋ว  Japan Rail Pass


  • สามารถสำรองที่นั่งโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ผ่านเคาน์เตอร์ที่สถานีรถไฟ JR หลักๆทั่วประเทศญี่ปุ่น
  • สามารถรับส่วนลดสำหรับการจองโรงแรมในเครือ JR
    โรงแรมในเครือ JR เป็นกลุ่มโรงแรมที่ตั้งอยู่ในหรือใกล้สถานีรถไฟ เช่น Metropolitan, Mets, Massocia และ Granvia เป็นต้น โดยสามารถจองห้องพักแบบออนไลน์ได้อย่างสะดวกสบาย

การนับวันหมดอายุของตั๋ว


ตั๋ว  JR PASS (Japan Rail Pass) จะนับระยะเวลาตามปฏิทิน(เที่ยงคืน-เที่ยงคืน) เช่น ตั๋ว 7 วัน เริ่มต้นใช้งานวันแรกเวลาเที่ยงวัน(12:00) จะหมดอายุในเวลาเที่ยงคืน(00:00)ของวันที่เจ็ด แต่ถ้าคุณนั่งอยู่ในรถไฟเวลาเที่ยงคืนของวันหมดสุดท้ายของตั๋ว คุณยังสามารถนั่งไปได้จนถึงสถานีปลายทางที่ต้องการลง (ยกเว้นกรณีที่คุณเปลี่ยนไปนั่ง Shinkansen, limited express หรือ express train หลังเที่ยงคืน จะไม่สามารถใช้ตั๋วได้)

การแลกเปลี่ยนตั๋วหลังจากเดินทางมาถึงประเทศญี่ปุ่น


เมื่อซื้อตั๋ว  JR PASS (Japan Rail Pass) มาแล้ว หลังจากเดินทางมาถึงประเทศญี่ปุ่นจะต้องนำไปเปลี่ยนเป็นตั๋วจริงได้ที่ สถานีรถไฟหลักของ JR ได้ทั่วประเทศญี่ปุ่น รวมถึง Narita Airport และ Kansai Airport เอกสารสำคัญที่ต้องใช้: Exchange order + พาสปอร์ต หลังจากที่แลกเป็นตั๋วจริงแล้ว คุณสามารถเลือกวันเริ่มต้นการใช้งานภายในระยะเวลา 1 เดือน โดยเมื่อเลือกวันแล้วไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

วิธีใช้ JR Pass


JR Pass รูปแบบใหม่หลังโควิด จะไม่ได้เป็นเล่มๆ ที่เวลาเข้าออกประตูกั้นรถไฟต้องเดินออกทางประตูด้านข้างแล้ว แต่จะมีลักษณะเหมือนกับตั๋วรถไฟทั่วไปที่เสียบที่ช่องทางเดินเข้าออกอัตโนมัติได้เลย และตอนขาออกอย่าลืมหยิบตั๋วคืนจากเครื่องมาด้วยนะครับ

วิธีสำรองที่นั่ง
**ตั๋ว JR PASS (JAPAN RAIL PASS) แบบ 7,14 และ 21 วัน ที่ออก JR Exchange Voucher กับทางบริษัท ไม่สามารถจองที่นั่ง Online ผ่านเว็ปไซด์ https://japanrailpass.net/th ได้นะคะ หากต้องการจองที่นั่ง ต้องไปจองที่เคาน์เตอร์ JR ที่ประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น!!!***


jr_reserve_sign
ต้องสำรองที่นั่งผ่านเคาน์เตอร์ JR ticket office ล่วงหน้าก่อนวันเดินทางอย่างน้อย 1 วัน การสำรองที่นั่งมีเฉพาะรถไฟที่เดินทางไกลข้ามเมืองหรือภูมิภาค รวมถึง
Narita Express(Tokyo-Narita Airport)
Hayabusa และ Hayate trains(เส้นทางของ Tohoku Shinkansen)
Komachi Trains(เส้นทางของ Akita Shinkansen)
– รถไฟกลางคืน(ส่วนใหญ่)

**หากไปไม่ทันรถไฟขบวนที่สำรองที่นั่งไว้ สามารถรอรถไฟขบวนถัดไปโดยนั่งโบกี้ non-reserved หรือสำรองที่นั่งใหม่ค่ะ**

**สิทธิพิเศษสถานที่ท่องเที่ยว**
คุณสามารถเพลิดเพลินกับสถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่นได้ในราคาสุดคุ้ม

**สิทธิพิเศษใช้บริการ JR โฮเทลกรุ๊ป**
เพลิดเพลินกับการพักในโรงแรมอันแสนสะดวก ของกลุ่มบริษัทในเครือโรงแรม JR !

>> สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บริษัท เจแปน ออล พาส จำกัด ( Japan All Pass Co.Ltd. )

โทร. 02-514-7473 (วันจันทร์-เสาร์ เวลา 09.00-18.00 น.)
หรือติดต่อฝ่ายขายโดยตรงได้ที่ LINE : https://lin.ee/jKISGty

ไฮไลท์น่าเที่ยวเมืองโตเกียว (Tokyo)

จุดท่องเที่ยวไฮไลท์ของเมืองโตเกียว (Tokyo)

โตเกียว เมืองท่องเที่ยวยอดฮิตของคนรักญี่ปุ่น มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจหลายแห่ง มีทั้งวัด สถานที่สำคัญต่างๆ รวมถึงที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติหลายแห่ง และยังสามารถเดินทางท่องเที่ยวด้วยตัวเองได้ง่าย สะดวกสบาย มีทั้งเส้นทางรถไฟ และรถบัส วันนี้เรายกตัวอย่างสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญบางแห่งมาให้ได้ชมกันค่ะ

จุดชมวิว แม่น้ำสุมิดะ (Sumida River)

The skyline of Sumida, Tokyo featuring the famous Asahi Building and the golden flame

แม่น้ำสุมิดะไหลผ่านเมืองโตเกียว (Tokyo) เป็นแม่น้ำที่แยกออกมาจากแม่น้ำอาราคาวะ (Arakawa River) ทางเหนือของโตเกียว และไหลผ่านเมืองออกสู่อ่าวโตเกียว

จากจุดนี้เราสามารถมองเห็นโตเกียวสกายทรี (Tokyo Sky Tree) และตึกเบียร์อาซาฮี (Ashahi Beer Tower) ที่มีฟองเบียร์รูปทรงแปลกตาคล้ายอุนจิ ให้เราได้เก็บภาพสวยๆ แบบรัวๆเลยค่ะ

การเดินทาง : จากสถานีรถไฟอาซากุสะ เดิน 1 นาที โดยใช้ทางออก 5~8 Matsuya, Sumida Park District Gate

วัดเซนโซจิ (Sensoji Temple)

หรือที่ส่วนใหญ่จะรู้จักกันในชื่อ วัดอาซาคุสะ (Asakusa) เป็นวัดเก่าแก่ของของโตเกียว ตามตำนานบอกว่ามีชาวประมง 2 พี่น้องออกไปจับปลา แต่หาปลาไม่ได้เลย เลยอธิษฐานขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้จับปลาได้ แต่เมื่อเหวี่ยงแหลงไปก็ได้เจ้าแม่กวนอิมทองคำสูงประมาณ 5 นิ้วขึ้นมาแทน จึงนำกลับหมู่บ้านแล้วสร้างเป็นวัดต่อมา

Japan. Tokyo. Asakusa Temple at night. Tourists on Asakusa street. Tourists in night Tokyo. People near the Buddhist pagoda. Pagoda at Sensoji Temple. Tours in Tokyo. Traveling in Japan.

ภายในวัดจะแยกเป็น 2 ส่วนคือถ้าเข้ามาทางด้านหน้า จะเจอประตูวัดใหญ่เรียกว่า คามินาริมง (Kaminari-mon) นี่แหละจุดเช็คอินของเรา หรือประตูฟ้าคำรณ สังเกตง่ายๆ คือจะมีโคมแดงยักษ์แขวนเอาไว้ ที่ด้านล่างของโคมแดงจะมีรูปสลักไม้มังกรอยู่ มีความเชื่อว่าถ้าเอามือลูบแล้วจะสุขภาพดี แต่ว่าจะลูบถึงมั้ยอีกเรื่องค่ะเรามาตรฐานหญิงไทยอย่างไรก็ไม่ถึง

ส่วนด้านหน้าประตูจะเป็นถนนคนเดินเล็กๆ ชื่อนากามิเซะ ซึ่งมีร้านเล็กๆ ขายของทีีระลึกและของกินรายทาง หลังจากผ่านประตูมาแล้ว จะเจอโซนกระถางธูป ให้กวักควันธูปเข้าตัวเพื่อความโชคดี อาคารหลังในก็จะเป็นที่ตั้งของเจ้าแม่กวนอิมที่ว่าไปตอนต้น ศาลเจ้าญี่ปุ่นจะมีกล่องให้โยนเหรียญทำบุญกันด้วย

การเดินทางมาวัดเซนโซจิก็ไม่ยากสถานีที่อยู่ใกล้ที่สุดคือสถานีอาซากุสะ (Asakusa) ของรถไฟใต้ดินสายกินซ่า (Ginza) และสายโทบุ (Tobu Sky tree) ออกมาแล้วเดิน 5 นาทีก็ถึงเลยจ้า

Koukyo พระราชวังอิมพีเรียล

โควเคียวหรือพระราชวังอิมพีเรียล ปัจจุบันเป็นที่พักของจักรพรรดิญี่ปุ่นและครอบครัว ลักษณะเป็นป้อมสไลต์ญี่ปุ่น บริเวณรอบๆของพระราชวังเป็นพื้นที่ของสวนขนาดใหญ่ล้อมรอบด้วยคูเมืองและกำแพงหิน จากทางเข้าชมด้านหน้าของพระราชวังอิมพีเรียล นักท่องเที่ยวสามารถชมสะพานได้ซึ่งจะมีอยู่ 2 สะพาน คือสะพาน Nijubashi และสะพาน Meganebashi (สะพานแว่นตา) ปกติแล้วการเข้าชมจะต้องมีทำการจองทัวร์ล่วงหน้าก่อนเท่านั้นนะคะ

ÈÕ±¾»Ê¾Ó

โดยต้องทำการติดต่อไปยังสำนักพระราชวัง ซึ่งนักท่องเที่ยวจะสามารถเข้าไปชมบริเวณรอบๆของตัวปราสาทแห่งนี้ได้ แต่จะไม่สามารถเข้าไปเยี่ยมชมด้านในปราสาทได้ เพราะส่วนด้านในของพระราชวังนั้นโดยปกติจะไม่ได้เปิดให้เข้าชม ยกเว้นวันที่ 2 มกราคม และวันที่ 23 ธันวาคม ทางสำนักพระราชวังได้เปิดให้ประชาชนทั่วไปพระราชวังได้ และได้เห็นราชวงศ์ของญี่ปุ่นที่จะออกมาพบประชาชนบริเวณระเบียงของพระราชวัง ถ้าใครอยากจะได้เข้าไปชมด้านในอีกทั้งยังได้พบราชวงศ์ของญี่ปุ่นแล้วล่ะก็ คงต้องแพลนกันให้ดีๆนะคะ

Winter snowy scene at Nijubashi, and Tokyo Imperial Palace.

โตเกียวทาวเวอร์ (Tokyo Tower)

โตเกียวทาวเวอร์เป็นสถาปัตยกรรมที่อ้างอิงการออกแบบของหอไอเฟล เนื่องด้วยความสูง 333 เมตร อาคารนี้จึงเป็นหอคอยเอกเทศที่สูงที่สุดในโลกเมื่อสร้างเสร็จ และยังคงเป็นโครงสร้างที่สูงที่สุดในประเทศญี่ปุ่นจนกระทั่งถูกแซงโดยสกายทรีในปี ค.ศ.2010
โตเกียวทาวเวอร์แบ่งออกเป็นสามส่วนที่แตกต่างกันชัดเจน ฟุตทาวน์อยู่บริเวณชั้นล่างของอาคารแบะเป็นบริเวณที่เต็มไปด้วยร้านรวงต่างๆมากมาย มีทั้งร้านอาหารร้านกาแฟและร้านขายของที่ระลึก

Tokyo, Japan skyline in the Asakusa district.

จุดชมวิวอยู่ที่ความสูง 150 เมตร ขึ้นไปด้านบนแล้วมองลงมาเห็นความงามของบ้านเมือง หิมะขาวๆ อากาศเย็นๆ ฟินที่สุดแล้วค่ะ แต่! ยิ่งสูงยิ่งสวยค่ะ ไปค่ะขึ้นไปอีกเช็คอินกันที่ 250 เมตร อันนี้เราก็ขาสั่นใจสั่นอยู่นะ จุดนี้มองแบบพาโนราม่าได้เลยถ้าอากาศดีๆนอกจากจะเห็นตึกรามบ้านช่องความงามของตัวเมืองแล้วเรายังสามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้ที่ปลายสุดขอบฟ้าด้วย จะให้ดีคนยืนข้างๆต้องเป็นแฟนแล้วนะ ฟินขนาดนี้

Tokyo tower and traffic in Japan

มาฟินกับบรรยากาศหนาวๆกันที่เมืองเก่า Takayama กันดีกว่า

บรรยากาศฤดูหนาวที่ย่านเมืองเก่า Takayama

ส่วนใหญ่แล้วคนที่ชอบเมืองโบราณกลิ่นไอของความเป็นชนบทเก่าๆแบบคลาสสิคจะนึกถึงที่นี่ ทาคายาม่า (Takayama) มารอบนี้เราจะพาไปเดินชมเมืองท่ามกลางหิมะให้ฟินไปเลย

Winter in Takayama ancient city in Japan.

ย่านเมืองเก่าทาคายามะ (Takayama Old Town)

สัมผัสกับกลิ่นอายแห่งประวัติศาสตร์ในแบบย้อนยุค ในช่วงฤดูหนาวแบบคูลๆกันค่ะ ย่านเมืองเก่าทาคายามะ อยู่ทางตอนเหนือของจังหวัดกิฟุ (Gifu) เป็นเมืองเก่าแก่ที่ยังคงรักษาบรรยากาศบ้านเรือนในสมัยโบราณของญี่ปุ่น ให้เราได้เห็นอยู่จนถึงปัจจุบัน ที่แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติที่สวยงาม

Winter in Takayama ancient city in Japan.

บ้านเรือนเก่าแก่ที่ปัจจุบัน ได้มีการดัดแปลงเป็นคาเฟ่ และร้านอาหารสวยๆ นอกจากนี้ยังมีร้านค้าที่ขายผลิตภัณฑ์ชื่อดังของท้องถิ่นมากมาย ให้นักท่องเที่ยวได้เที่ยวชม ซื้อของฝากติดไม้ติดมือกลับไปบ้านด้วยล่ะค่ะ

Winter in Takayama ancient city in Japan.
Winter in Takayama ancient city in Japan.

สะพานนาคะบาชิ (Nakabashi Bridge)

TAKAYAMA , JAPAN – January 29, 2019 : Nakabashi Bridge with snow fall and Miyakawa river and tourist in winter season . Landmark of Hida – Gifu – Takayama , Japan . Landscape view .

สะพานสีแดงสะดุดตาโดดเด่น เป็นสัญลักษณ์สำคัญของเมือง และเป็นจุดหมายปลายทางยอดฮิตของนักท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งเลยค่ะ สีสันของฤดูหนาวที่นี่ก็สวยงามไม่แพ้ใคร สะพานสีแดงจัดจ้านที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ และหมู่บ้านแบบดั้งเดิมที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะสีขาวโพลน เป็นความสวยงามแบบหาดูได้ยาก เป็นความสวยงามแบบว่าต้องมาให้ได้สักครั้งในชีวิต

Nakabachi Bridge in Takayama. The red bridge is famous
Nakabashi Bridge with snow fall and Miyakawa river in winter season . Landmark of Hida , Gifu , Takayama , Japan . Landscape view .

การเดินทางมา Takayama จาก Nagoya สามารถนั่งรถไฟ Ltd.Exp. Hida ต่อเดียวถึงเลยค่ะ เวลาเดินทางประมาณ 2.30 ชั่วโมง แนะนำพักใกล้ๆสถานีรถไฟจะสะดวกในการไปต่อนะคะ

รวมที่เที่ยวน่าไปใน ฟุคุอิ (Fukui)

วันนี้เราพาไปเที่ยวกันที่จังหวัดฟุคุอิ (Fukui)  ประเทศญี่ปุ่น เป็นจังหวัดที่ติดกับทะเล ดังนั้นเรามีที่แนะนำสำหรับครอบครัวก็ได้ หรือไปกันเป็นกลุ่มเพื่อนก็ดี หรือจะมีอารมณ์แบบ backpacking ก็อินและฟินกับบรรยากาศได้ทั้งนั้น ไปดูกันว่ามีที่ไหนน่าสนใจบ้าง

วัดเออิเฮจิ  (Eiheiji Temple)

หนึ่งในสองวัดใหญ่ที่เป็นวัดหลักของพุทธศาสนานิกายโซโตะเซน เออิฮิจิสร้างขึ้นโดยพระโดเก็น ตั้งอยู่ท่ามกลางต้นซีดาร์ในภูเขา มีวิหารอยู่ 7 หลัง เรียกว่า “ชิจิโดการัน” (หอธรรม บุตสึเด็น โซโดะ โคคุอิน ซันมง โทชิ และห้องน้ำ) เป็นสถานที่บริสุทธ์ ที่พระสงฆ์ฝึกฝนปฏิบัติธรรมอย่างหนักทุกวัน วัดเออิเฮจิเปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 05.00-16.30 น. เสียค่าเข้าชม 500 เยน สำหรับค่ากิจกรรมกับทางวัด 8,000 เยน/คืน รวมอาบน้ำ อาหารเย็น การทำสมาธิ และอาหารเช้า ราคาต่างๆ อาจมีการเปลี่ยนแปลง ควรอัพเดทก่อนไปกันนะคะ และหากใครสนใจต้องลงชื่อจองล่วงหน้าเท่านั้นนะคะ  เดินทางจากสถานี Fukui นั่งรถบัส หรือรถไฟ Echizen Railway ไปลงที่สถานี Eiheiji-guchi แล้วต่อรถบัสอีกประมาณ 10 นาที ก็ถึงแล้วจ้า

Eiheiji temple Fukui Japan. Eiheiji is one of two main temples of the soto school of Zen Buddhism, the largest single religious denomination in Japan.
Fukui Japan – May 03, 2018: People visit Eiheiji temple Fukui Japan. Eiheiji is one of two main temples of soto school of Zen Buddhism, the largest single religious denomination in Japan.
Eiheiji temple Fukui Japan. Eiheiji is one of two main temples of the soto school of Zen Buddhism, the largest single religious denomination in Japan.

พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ Katsuyama Fukui

พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ ที่เมืองคัตสึยาม่า ถือเป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การศึกษาและวิจัยสัตว์โลกดึกดำบรรพ์อย่างไดโนเสาร์มากที่สุด และการก่อสร้างของอาคารมีความสวยงามน่าสนใจ และใส่ใจในรายละเอียดของบุคคลวัยต่างๆ ที่ต้องการเข้าไปใช้บริการ เนื่องจากเป็นศูนย์กลางการวิจัยไดโนเสาร์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ภายในมีทั้งหมด 4 ชั้น เมื่อเดินเข้ามาจะพบกับโครงกระดูกเจ้าทีเร็กซ์ที่ยืนต้อนรับอยู่ รวมถึงโครงกระดูกไดโนเสาร์พันธุ์อื่น ๆ ที่ถูกนำมาจัดแสดงด้วย ไม่ว่าจะเป็นแรปเตอร์ และซอรัสที่ถูกพบในเมืองฟุคุอิ เพลิดเพลินกับการเดินชมนิทรรศการเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตบนโลก ความรู้เกี่ยวกับโลก โลกเกิดขึ้นมาได้อย่างไร วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต และวิวัฒนาการจากนกเป็นไดโนเสาร์ แถมยังมีวิดีโอสนุก ๆ ให้ได้รับชมด้วย แน่นอนว่าต้องมีคำบรรยายภาษาอังกฤษให้แน่นอนค่ะ มาเป็นคณะฯแบบไหน ครอบครัวลูกเล็กเด็กแดงต้องชอบแน่ๆ วัยรุ่นก็สนุกได้ วัยทำงานก็อลังการด้วยความรู้ นอกจากนี้เรา ยังสามารถสัมผัสซากฟอสซิลของจริง รวมถึงเรียนรู้วิธีการดูแลกับรักษาฟอลซิลในห้องปฏิบัติการได้ด้วยนะจ๊ะ

พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์เปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 9.00-17.00 น. ปิดทำการทุกวันพุธที่ 2 และ 4 ของทุกเดือน ยกเว้นเดือนสิงหาคม และช่วงวันหยุดสิ้นปี เสียค่าเข้าชมคนละ 720 เยน แต่ถ้าหากมีนิทรรศการพิเศษจะมีค่าใช้จ่ายต่างหาก

การเดินทาง จากสถานี Fukui นั่งรถไฟสาย Echizen Railway Katsuyama-Eiheiji ไปลงที่สถานี Katsuyama แล้วต่อรถบัสที่มุ่งหน้าไป Nagaoyama ลงที่ป้าย Kyoryu Hakubutsukan-mae หรือจะต่อแท็กซี่ก็ได้ค่ะ

ผาโทจินโบ (Tojinbo) 

Landscape of Tojinbo Cliff, Mikuni cho, Sakai, Fukui Prefecture, Japan. Cliffs and sea

หน้าผาโทจินโบ คือ หน้าผาหินแกรนิตสูง 20 เมตร และยาวกว่า 1 กิโลเมตร เกิดจากน้ำทะเลกัดเซาะจนมีรูปร่างแตกต่างกัน ถือเป็นหินแอนดีไซต์ที่มีส่วนผสมของแร่ไพรอกซีนขนาดใหญ่ ซึ่งมีเพียงที่นี่ที่เดียวเท่านั้นในญี่ปุ่น จึงทำให้ที่นี่มีชื่อเสียงทางด้านธรณีวิทยาเป็นอย่างมาก รวมถึงเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุด จนได้รับการจดทะเบียนเป็นอนุสรณ์สถานทางธรรมชาติแห่งชาติ ซึ่งนอกจากจะได้กินลมชมวิวทิวทัศน์ของน้ำทะเลที่ตัดกับสีฟ้าครามของท้องฟ้าแล้ว เรายังสามารถเดินเล่นชมหน้าผาโทจินโบและทะเลรอบๆ ได้ แต่ต้องระวังมากๆ ค่ะเพราะบริเวณหน้าผาลื่นมาก ควรสวมรองเท้ากันลื่นหรือรองเท้าผ้าใบ และเดินอย่างระมัดระวังกันด้วย นอกจากนี้ที่นี่ยังมีร้านขายของที่ระลึกและร้านอาหารให้ได้ใช้บริการ รวมถึงยังมีหอคอย Tojinbo Tower ให้ชมวิวทิวทัศน์ของหน้าผาจากมุมสูงได้ด้วย  วิธีการเดินทางก็ไม่ยากเราสามารถนั่งรถบัสสายเดียวยาวๆ ลงที่ป้าย Tojinbo แล้วเดินต่อมาอีกนิดก็ถึงเลยค่ะ

Landscape of Tojinbo Cliff, Mikuni cho, Sakai, Fukui Prefecture, Japan
Fukui Prefecture Tojinbo tower

อาวาระออนเซ็น (Awara Onsen)

ถูกค้นพบในสมัย 1883 ตั้งอยู่ในเมืองอาวาระ จังหวัดฟุคุอิ ถึงแม้จะเคยประสบปัญหาภัยพิบัติแผ่นดินไหว แต่ที่นี่ก็ยังคงความเป็นเมืองสปาเอาไว้จนถึงทุกวันนี้ ด้วยบรรยากาศที่แตกต่างกันของแต่ละบ่อ เนื่องจากมีปริมาณแร่ธาตุมที่แตกต่างกัน ทำให้คุณสมบัติของแต่ละบ่อแตกต่างกันตามไปด้วย น้ำพุร้อนที่นี่จะช่วยผ่อนคลายความปวดเมื่อยของกล้ามเนื้ออักเสบ,ผิวหนังเรื้อรัง,โรคประสาท,โรคผิวหนังภูมิแพ้ และอื่นๆอีกมากมาย นอกจากจะได้แช่น้ำให้ผ่อนคลายกันแล้ว ยังสามารถทานอาหารทะเลสดใหม่ และยังจะได้ชมการแสดงของเหล่าเกอิชาทีจะขับกล่อมเพลงพร้อมร่ายรำให้เราได้ชมกันด้วย ในส่วนของเกอิชานี้ต้องจองคิวล่วงหน้าเท่านั้นนะ แถมที่นี่ยังมีบริการให้เช่าจักรยานปั่นชมรอบเมืองด้วย ถึงแม้ว่าเพื่อนๆบางคนอาจจะไม่ได้วางแผนนอนพักที่อาวาระ ออนเซ็น เพียงแค่จ่าย 1,500 เยน ก็สามารถแช่น้ำพุร้อนได้ถึงสามครั้ง

วิธีเดินทาง : สามารถนั่งรถไฟมาลงที่สถานี Onsen Awara หรือสถานี Awarayuno-machi แล้วเดินต่ออีกนิดก็ถึงแล้วค่ะ

โบราณสถานตระกูลอิจิโจดานิ อาซากุระ (Ichijodani Asakura Clan Historic Ruins)

Scenery of the Ichijodani Asakura Family Historic Ruins

โบราณสถานแห่งนี้คือซากปรักหักพังของบ้านเมืองและปราสาทไดเมียว ที่อยู่ภายใต้การดูแลของตระกูลอาซากุระชิ ในสมัยสงครามกลางเมือง เนื่องจากพ่ายแพ้สงครามแก่โอดะ โนบุนางะ บ้านเมืองที่นี่จึงถูกเผาทำลายไปด้วย เหลือเพียงซากปรักหักพังของอาคาร สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ดังนั้นเมื่อมาถึงที่นี่เราจะได้เดินชมบ้านซามูไร วัด ร้านค้า ถนน ในสมัยก่อนที่ยังคงอยู่ในสภาพดี รวมถึงวัตถุโบราณอีกหลายชนิด ทำให้ที่นี่ได้รับการให้เป็นสถานที่สำคัญทางวัฒนธรรม และได้รับยกย่องในด้านทิวทัศน์ที่สวยงาม มีคุณค่าและความสำคัญทางวัฒนธรรม

Triple water wheel using water from Ashiba River Head Shouko Road Station Ichishidani Asakura Mizu Station
Scenery of the Ichijodani Asakura Family Historic Ruins

โบราณสถานตระกูลอิจิโจดานิ อาซากุระชิ เปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 น. และหยุดช่วงวันสิ้นปี

การเดินทางจากสถานี Ichijodani นั่งสาย Etsumi-hoku เดินต่ออีกประมาณ 30 นาที

ปราสาทเอจิเซน โอโนะ (Echizen Ono Castle)

ปราสาทเอจิเซน โอโนะ ตั้งอยู่บนภูเขาคะเมะยะมะ (Mt. Kameyama) ที่ความสูง 249 เมตร ในจังหวัดฟุคุอิ (Fukui) ได้รับการขนานนามว่าเป็น “ปราสาทลอยฟ้า” เนื่องจากภาพทิวทัศน์ที่งดงามของตัวปราสาทเมื่ออยู่ท่ามกลางทะเลหมอก ให้ความรู้สึกว่าตัวปราสาทกำลังล่องลอยอยู่บนท้องฟ้า เดินเล่นสัมผัสลมเย็นๆ บนปราสาทถือว่าฟินสุด ปราสาทจะเปิดให้เข้าชมเฉพาะในช่วงเดือนตุลาคมจนถึงเดือนพฤศจิกายน และเปิดอีกครั้งในช่วงเดือนเมษายนจนถึงเดือนกันยายน นอกจากนี้บริเวณเมืองโอโนะ ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งของปราสาท ได้ถูกออกแบบผังเมืองให้ใกล้เคียงกับเกียวโตมากที่สุด ยังคงรักษาสภาพอาคารบ้านเรือนสมัยอดีตไว้เป็นอย่างดี จนถูกเรียกว่าเป็น “ลิตเติ้ล เกียวโต (Little Kyoto)” สามารถเดินเล่นเที่ยวชมเมืองกันได้อีกด้วย

Scenery of the Echizen Ono jo castle in Fukui, Japan

ช่วงเวลาคือ เดือนพฤศจิกายนจนถึงต้นเดือนมีนาคม แต่จะเกิดบ่อยที่สุดในช่วงเดือนพฤศจิกายน จะมีทางเดินจากวัดเล็กๆ บริเวณตีนเขา แล้วจึงเดินไปตามทางเดินในป่าประมาณ 20-30 นาที ก็จะถึงจุดชมวิว ซึ่งก็คือจุดหนึ่งในป่านั่นเอง นี่คือทางที่ง่ายที่สุด ซึ่งจริงๆแล้วสามารถขึ้นได้ทั้งหมด 3 จุดรอบเขา และเส้นทางเดินนั้นเป็นทางเดินในป่า โอกาสเจอเป็นลักษณะปราสาทลอยฟ้าเป็นไปได้ยากมากทีเดียว

ค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 200 เยน (ส่วนลดกลุ่มมากกว่า 30 คน 100 เยน) (ฟรีนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น)

เวลาเปิด – ปิด ช่วงเดือนเมษายน 9.00 น. – 17.00 น.

การเดินทาง 30 นาที โดยการเดินจากสถานี Echizen Ono

ชายหาดวากาสะวาดะ (Wakasa Wada beach)

Scenery of Wakasa Bay in Fukui prefecture,Japan.

ชายหาดวากาสะวาดะ เป็นชายหาดที่น้ำตื้นและใสสะอาด ทรายละเอียดสีขาวให้ความรู้สึกถึงผิวสัมผัสที่นุ่มเท้า แม้จะเดินเท้าเปล่าเลียบชายฝั่ง ก็ไม่ต้องกังวลกับเศษขยะหรือปะการังเพราะเป็นหาดที่ปลอดภัย ไม่มีแนวปะการัง หรือหิน พื้นทะเลราบเรียบและน้ำก็ตื้น นั่นคือเหตุผลที่ชาดหาดนี้เป็นที่ชื่นชอบของครอบครัวที่มีเด็กเล็กๆ พวกเขาสามารถผ่อนคลายในขณะที่ลูก ๆ ของพวกเขาเล่นน้ำอย่างสนุกสนานตามแนวชายฝั่ง ที่นี่ยังมีเจ้าหน้าที่กู้ภัย แพทย์ และพยาบาลกำลังปฏิบัติหน้าที่ ที่หาดวากาซาวาดะในช่วงฤดูกาลเพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวอีกด้วย คุณสามารถเดินทางไปที่หาด Wakasa Wada ได้โดยรถไฟจากสถานี Tsurugi ขึ้นรถไฟสาย Obama ไปยัง Wakas Takahama (1 ชั่วโมง 15 นาที) จากนั้นเดิน 15 นาทีจากสถานีหรือนั่งแท็กซี่ไปก็จะถึงบริเวณหาดค่ะ

Wakasa Bay