อัพเดทล่าสุด วัคซีนตัวไหนเข้าญี่ปุ่นได้บ้าง?

ฉีดวัคซีนยี่ห้อไหนเข้าประเทศญี่ปุ่นได้บ้าง

ญี่ปุ่นเปิดประเทศเต็มรูปแบบแล้วตั้งแต่ 11 ตุลาคม 2565 โดยนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางเข้าญี่ปุ่นเองได้ โดยไม่จำเป็นต้องมากับกลุ่มทัวร์ นอกจากนี้ยังได้รับการยกเว้นวีซ่าให้แก่ผู้ที่พำนักในญี่ปุ่นระยะสั้นอีกด้วย

Syringe and vials on white background

กระทรวงสาธารณะสุขของประเทศญี่ปุ่น ยังคงมีมาตรการในการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 จะอนุญาตให้นักเดินทางที่ได้รับวัคซีนครบ 3 เข็ม และชนิดของวัคซีนจะต้องได้รับการรับรองมาตรฐานจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ให้สามารถเดินทางเข้าได้ โดยไม่จำเป็นต้องตรวจหาเชื้อโควิด-19 ก่อนออกเดินทาง ได้แก่ Pfizer, AstraZeneca, Johnson&Johnson, Novavax, Moderna, Sinopharm, Sinovac
วัคซีนทั้ง 3 เข็ม จะเป็นชนิดใดก็ได้ฉีดไขว้กันไปมาก็ได้เช่นกัน สามารถเดินทางเข้าญี่ปุ่นได้โดยไม่ต้องแสดงเอกสารรับรองผลตรวจหาเชื้อโควิดด้วยวิธี RT-PCR

สำหรับน้องๆ ที่อายุไม่ถึง 18 ปี ที่เดินทางตามผู้ปกครองไปท่องเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่น ถ้าผู้ปกครองฉีดวัคซีนครบ 3 เข็มแล้ว น้องๆก็สามารถติดตามผู้ปกครองเข้าประเทศญี่ปุ่นได้เลยค่ะ

Augsburg, Bavaria, Germany – March 21, 2021: Vials with the Moderna Covid-19 vaccine are used at the corona vaccination centres worldwide

ถ้าใครที่ยังไม่ได้รับวัคซีน หรือรับวัคซีนแล้วแต่ยังไม่ครบ 3 เข็มตามเกณฑ์ที่รัฐบาลญี่ปุ่นกำหนด ยังสามารถเดินทางเข้าญี่ปุ่นได้ แต่ต้องมีเอกสารรับรองผลตรวจ RT-PCR มีผลเป็นลบ ภายใน 72 ชั่วโมงก่อนเดินทาง ถ้าน้องๆที่อายุต่ำกว่า 6 ปี ไม่ต้องตรวจ RT-PCR สามารถใช้ผลตรวจของผู้ปกครองก็สามารถเข้าประเทศญี่ปุ่นได้เลยค่ะ
(สำหรับผลตรวจ RT-PCR ต้องขอให้สถานพยาบาลออกให้เป็นฉบับภาษาอังกฤษเท่านั้น)

ก่อนเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่น ยังคงต้องติดตั้งแอป My SOS เพื่อใช้ในการเข้าประเทศญี่ปุ่น
– ขั้นตอนแรกเตรียมถ่ายรูป Passport และไฟล์ PDF ที่ได้จากการดาวน์โหลดแอปหมอพร้อม (ฉบับภาษาอังกฤษ)
– เมื่อดาวน์โหลด My SOS เรียบร้อยแล้ว ระบบจะให้กรอกข้อมูล Passport และยืนยันตัวตน เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

เพื่อการเดินทางที่ราบรื่น ด้วยการเตรียมเอกสารและข้อมูลให้พร้อม แล้วไปสนุกกันที่ญี่ปุ่นกันเลยค่ะ

วางแผนเที่ยว โตเกียว-ฟูจิ-สกี รีสอร์ท 5 วัน 4 คืน

แนะนำวางแผนท่องเที่ยวญี่ปุ่น 5 วัน 4 คืน โตเกียว-ฟูจิ-สกี รีสอร์ท

ทริปท่องเที่ยวในช่วงฤดูหนาว 5 วัน 4 คืน สำหรับใครที่มีแพลนจะเดินทางไปเที่ยวในช่วงต้นปีแต่ยังไม่รู้ว่าจะไปเที่ยวที่ไหน วันนี้จะมาแนะนำเพื่อนๆกับทริปเที่ยว โตเกียว (Tokyo) กาล่า ยูซาว่า (GALA Yuzawa) และ ภูเขาไฟฟูจิ (Fuji) ไปดูกันค่ะว่าทริปการเดินทางน่าสนุกแค่ไหน มีอะไรบ้าง

Shibuya Crossing from top view at twilight in Tokyo, Japan
Autumn Season and Mountain Fuji at Kawaguchiko lake, Japan.

ทริปนี้เราเลือกใช้ตั๋วรถไฟ JR EAST Pass Nagano-Niigata Area ในส่วนของสนามบินมี 2 แห่งให้เลือกใช้คือ สนามบินนาริตะ (Narita Airport Terminal) และสนามบินฮาเนดะ (Haneda airport) /สนามบินนานาชาติโตเกียว (Tokyo International Airport) แต่ในทริปนี้เราจะเลือกใช้สนามบินนาริตะกันค่ะ

TOKYO, JAPAN – DECEMBER 3, 2016: Passengers hurry in Shinagawa Station in Tokyo. The station was used by 335,661 passengers daily in 2013.

วันแรก เดินทางจากเมืองไทยไปลงสนามบินนาริตะ เปิดใช้ JR EAST Pass Nagano-Niigata สำรองที่นั่งรถไฟขบวน Narita Express (N’EX) เข้ามาที่โตเกียว (Tokyo) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 19 นาที เข้าที่พักในโตเกียว ย่านชินจูกุ, อูเอโนะ หรือชิบูย่า ราคาแต่ละย่านก็จะแตกต่างกัน อยู่ที่ประมาณ 3,000 – 5,000 บาท ถ้าอยากได้ราคาที่พักถูกลงแนะนำที่พักรอบๆนอก เช่น ย่านชินากาวะ ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 2,000 – 3,000 บาท หลังจากเข้าที่พักเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้ว เราเริ่มต้นเที่ยวรอบๆโตเกียวก่อนเลยค่ะ เช่น ชินจูกุ ชิบูย่า หรือฮาราจูกุ โดย JR EAST Pass Nagano-Niigata สามารถใช้ JR Yamanote Line ได้ด้วย และพักค้างคืนที่โตเกียว 1 คืน

Shibuya Crossing from top view at twilight in Tokyo, Japan

วันที่ 2 เราจะไปต่อกันที่สกีรีสอร์ท วันนี้เราเลือกไปที่ลานสกีกาล่า ยูซาว่า (GALA Yuzawa) เป็นลานสกีในเมืองยูซาว่า จังหวัดนีงาตะ เราใช้เวลาเดินทางจากโตเกียว เพียง 1 ชั่วโมง 20 นาทีเท่านั้นเอง โดยใช้รถไฟขบวน Joetsu Shinkansen Line ซึ่งมีแพ็คเก็จให้เราได้เลือกใช้ได้หลายรูปแบบเลยค่ะ และคืนนี้เราจะพักที่สกีรีสอร์ท กาล่า ยูซาว่า (GALA Yuzawa) 1 คืน

Gala Yuzawa Ski Resort in Yuzawa Town a large of ski resorts located in Niigata. popular for tourist attractions in Japan. YUZAWA JAPAN 8 April 2018

วันที่ 3 เรานั่งรถไฟขบวน Joetsu Shinkansen Line กลับมาที่โตเกียว เพื่อต่อรถไฟขบวน Ozaki Limited Express ไปที่สถานีโอซากิ (Ozaki Station) เมื่อมาถึงสถานีโอซากิเราจะต้องต่อรถไฟเอกชนขบวน FujiKyu Ryoway จะมีค่าใช้จ่ายต่อ/คน อยู่ที่ 1,170 เยน เพื่อไปที่สถานีคาวากุจิโกะ (Kawaguchiko Station) เมื่อถึงสถานีเราจะเดินทางต่อด้วยรถบัส Sightseeing ราคา 1,500 เยน เป็นตั๋วแบบ 2 วัน ใช้สำหรับวันนี้ และจะใช้ต่อในวันพรุ่งนี้อีกหนึ่งครั้ง ตั๋วใบนี้ใช้นั่งรถบัสเพื่อเที่ยวชมความสวยงามรอบๆทะเลสาบคาวากุจิโกะได้เลยค่ะ เราสามารถหารีสอร์ท หรือที่พักแบบเรียวกังที่คาวากุจิโกะ ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 3,000-5,000 ไปจนถึงหลักหมื่นที่เป็นแบบออนเซ็นมองเห็นวิวภูเขาไฟฟูจิ บรรยากาศดีมากๆเลยค่ะ

Fuji mountain and Kawaguchiko lake in morning, Autumn seasons Fuji mountain at yamanachi in Japan.

วันที่ 4 เรายังใช้ตั๋วรถบัส Sightseeing เที่ยวชมจุดชมวิวต่างๆบริเวณรอบๆทะเลสาบได้อีก หลังจากนั้นเราจะนั่งรถไฟขบวนเดิม FujiKyu Ryoway กลับมาที่สถานีโอซากิ และนั่งรถไฟสาย Shu Online กลับมาที่โตเกียว ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง 50 นาที เมื่อกลับมาถึงโตเกียวเรายังเที่ยวกันต่อได้อีก เช่น เที่ยวชมวัดเซ็นโซจิ หรือวัดอาซากุสะ หรือไปช้อปปิ้งที่ยูริโนะ โดยใช้ JR EAST Pass Nagano-Niigata Area ซึ่งครอบคลุมอยู่ในพาสของเรา วันนี้เราจะพักกันที่โตเกียวอีก 1 คืน

Autumn Season and Mountain Fuji at Kawaguchiko lake, Japan.

วันที่ 5 ทริปช้อปปิ้งก่อนเดินทางกลับ หลังจากช้อปปิ้งเรียบร้อยแล้วนั่งรถไฟขบวน Narita Express (N’EX) มาที่สนามบินนาริตะ (Narita Airport Terminal) ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 20 นาที เพื่อขึ้นไฟล์ทบินกลับเมืองไทย

VDO ที่เกี่ยวข้อง

วิธีการแช่ออนเซ็นสไตล์ญี่ปุ่น

วิธีการแช่ Onsen ในประเทศญี่ปุ่น

สถานที่แช่ออนเซ็นในประเทศญี่ปุ่น มีหลายสถานที่ที่น่าสนใจ เช่น คาวากูจิโกะ (Kawaguchiko), คุซัตสึ (Kusatsu), มิยากาเมะ (Miyagame), ยามากาตะ (Yamagata)

สำหรับใครที่ยังไม่เคยแช่ออนเซ็น หรือใครที่มีแพลนจะไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่น และจะไปแช่ออนเซ็น วันนี้เรามีวิธี หรือขั้นตอนการแช่ออนเซ็นมาฝากกัน ใครพักที่เรียวกัง จะมีคูปองให้สำหรับแช่ออนเซ็น แต่ในบางโรงแรมลูกค้าที่เข้าพักสามารถไปแช่ออนเซ็นของเรียวกังได้เลย โดยไม่ต้องมีการใช้คูปอง

จุดแรก คือเคาท์เตอร์ด้านหน้าห้องแช่ออนเซ็น จะมีเจ้าหน้าที่คอยบริการให้คำแนะนำ เรายื่นคูปองได้ที่จุดนี้ หากไม่ต้องใช้คูปองก็สามารถเดินเข้าไปด้านในได้เลย

จุดที่สอง เมื่อเข้ามาบริเวณด้านในเราควรปฎิบัติตามวิธีการแช่ออนเซ็นอย่างถูกต้อง ดังนี้

เก็บสัมภาระ

จุดเก็บสัมภาระ เราจะต้องเก็บของทั้งหมดที่ติดตัวเรามา เช่นเครื่องประดับต่างๆ โทรศัพท์มือถือฯ เก็บใส่ไว้ในล็อคเกอร์

ล้างเครื่องสำอาง

โซนนี้จะมีอ่างล้างหน้า เราจะต้องล้างเครื่องสำอางออกให้หมด ด้วยโทนเนอร์ หรือผลิตภัณฑ์สำหรับล้างเครื่องสำอาง หากผมยาวต้องรวบผม เกล้าผม หรือใส่หมวกคลุมผม

ถอดเสื้อผ้าออกให้หมด

เมื่อเข้ามาในออนเซ็น เราจะต้องถอดเสื้อผ้าทุกชิ้นออกให้หมด เหลือเพียงผ้าขนหนูผืนเล็กที่สามารถนำติดตัวเข้าไปได้

ล้างตัวทุกครั้งก่อนแช่ออนเซ็น

ก่อนเดินไปถึงบ่อออนเซ็น ขั้นตอนการล้างตัวถือว่าสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะเราจะต้องชำระล้างสิ่งสกปรกทั่วร่างกายให้สะอาด ก่อนลงไปแช่ออนเซ็น บริเวณนี้จะมีบริการ สบู่ แชมพู คอนดิชันเนอร์ โฟมล้างหน้า

ปรับอุณหภูมิร่างกาย

เราต้องปรับอุณหภูมิให้กับร่างกายด้วยการราดน้ำอุ่นใส่ตัว โดยเริ่มจากด้านล่างก่อนคือ มือ เท้า แขน ขา ตัว และศีรษะตามลำดับ เพื่อให้ร่างกายปรับสภาพให้ได้กับอุณหภูมิของน้ำร้อนก่อนแช่ออนเซ็น

การลงแช่ออนเซ็น

เริ่มโดยการนำผ้าขนหนูวางไว้บนศีรษะเพื่อไว้คอยซับเหงื่อ การลงแช่ออนเซ็นควรค่อยๆลงแช่ทีละส่วน เริ่มจากส่วนล่างก่อน ส่วนเท้า ส่วนขา ขยับตัวลงไปเรื่อยๆ จนถึงส่วนเอว หน้าอก และหัวไหล่ หากเราแช่แล้วรู้สึกร้อนเกินไป ควรขึ้นมาพักด้านบนก่อนแล้วค่อยลงไปแช่ใหม่ โดยปกติแล้วในการแช่ออนเซ็นแต่ละครั้ง ไม่ควรจะเกิน 20-30 นาที เพราะอุณหภูมิของบ่อออนเซ็นจะอยู่ที่ประมาณ 40-45 องศา ซึ่งค่อนข้างร้อนมากเลยทีเดียว

หลังแช่ออนเซ็นเสร็จแล้ว

เมื่อแช่ออนเซ็นเสร็จแล้วไม่ควรรีบอาบน้ำ เนื่องจากร่างกายจะปรับอุณหภูมิไม่ทัน เราควรนั่งพักอีกสักครู่เพื่อให้ร่างกายได้ซึมซับแร่ธาตุต่างๆ จากการแช่ออนเซ็น และก่อนจะเดินไปห้องแต่งตัว ให้เราเอาน้ำค่อยๆราดตัวเบาๆเพื่อล้างคราบกำมะถันที่เกาะอยู่บริเวณผิวหนังของเราออก และควรเช็ดตัวให้แห้งแล้วค่อยแต่งตัวให้เรียบร้อย

อัพเดทเงื่อนไขการเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่น

อัพเดท ข้อมูลการเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่น

ปัจจุบันการเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นยังคงต้องขอวีซ่า

ขั้นตอนในการขอวีซ่า ต้องยื่นเอกสารทั้งหมดผ่านบริษัททัวร์ที่เป็นตัวแทนในประเทศไทย เพื่อนำเอาเอกสารจากประเทศไทยไปที่ Land Operator ที่ประเทศญี่ปุ่น เพื่อขอในส่วนของเอกสาร Entrants, Returnees Follow-Up System (ERFS) เพื่อนำกลับมาขอวีซ่าที่ประเทศไทย และในส่วนของการจองตั๋วเครื่องบิน และการจองโรงแรม ต้องให้บริษัททัวร์ดำเนินการจองให้ทั้งหมด โดยที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นขั้นตอนปัจจุบันที่เรายังคงใช้ขอวีซ่ากันอยู่

ข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2565 ที่ผ่านมา ทางคณะรัฐมนตรีของประเทศญี่ปุ่นได้มีการประชุม ในเรื่องของการผ่อนปรน นโยบายที่จะให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น ในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี

เรื่องที่ยังคงอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของทางคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น มีดังนี้
1. พิจารณา ปรับจำนวนนักท่องเที่ยวต่อวันจากเดิม 50,000 คน เป็น ไม่จำกัดจำนวน เพื่อเป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยว
2. พิจารณา ยกเลิก การยื่นเอกสารเพื่อขอ ERFS
3. พิจารณา ยกเลิกการขอวีซ่าระยะสั้น สำหรับนักท่องเที่ยวระยะสั้น

แต่ทั้งนี้ยังเป็นนโยบายที่อยู่ในขั้นตอนการพิจารณา ยังไม่มีการประกาศใช้ หากมีข้อมูลอัพเดทเพิ่มเติมอะไร จะรีบอัพเดทข้อมูลให้ทราบทันทีเลยค่ะ

เผยเคล็ดลับเที่ยว ชิราคาวาโกะ แบบไม่ต้องจองล่วงหน้า

การเดินทางเข้าไปเที่ยวที่หมู่บ้านมรดก ชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go)

มีวิธีการเดินทางได้ 2 แบบคือ
1 นั่งรถบัส
2 เช่ารถขับไปเอง

เส้นทางการเดินทางเข้าไปที่ชิราคาวาโกะ

เส้นทางการเดินทางเข้าไปที่ชิราคาวาโกะ มีทั้งหมด 3 เส้นทาง
1. เส้นทางจากเมืองคานาซาว่า (Kanazawa)
2. เส้นทางจากเมืองทาคายาม่า (Takayama)
3. เส้นทางชิน ทาคาโอกะ (Shin Takaoka)

เส้นทางที่นักท่องเที่ยวรู้จักกันก็คือเส้นทางคานาซาว่า และทาคายาม่า ซึ่งทั้งสองเส้นทางนี้จะต้องจองล่วงหน้าจากเมืองไทย ถ้า Walk In เข้าไปอาจจะไม่มีที่นั่ง วันนี้เราจึงมีอีกหนึ่งเส้นทางที่จะมาแนะนำโดยที่ไม่ต้องจองล่วงหน้า คือการเดินทางโดยรถบัส ที่สถานีชิน ทาคาโอกะ (Shin Takaoka) ซึ่งมีให้บริการวันละ 5 เที่ยว/ต่อวัน
การเดินทางจากโอซากา >> โดยใช้ขบวนรถไฟ ธันเดอร์เบิร์ด >> ไปที่คานาซาว่า ใช้เวลาประมาณ 2.30 ชั่วโมง
การเดินทางจากคานาซาว่า >> นั่งรถไฟโฮคุริคุ ชินคันเซ็น (Hokuriku Shinkansen)>>ไปที่สถานี Shin Takaoka ใช้เวลาเพียง 18 นาที


เมื่อถึงเดินทางถึงสถานี Shin Takaoka ให้เราเดินลงบันไดเลื่อนออกที่ประตูฝั่งใต้ จะเจอชานชลารอรถบัส โดยเราจะขึ้นรถที่ Gate 4 พอถึงที่หมายเราสามารถชำระเงินที่เจ้าหน้าที่ขับรถได้เลย ถ้าใครที่มีตั๋ว JR Takayama-Hokuriku Area Tourist Pass ที่ยังไม่หมดอายุ สามารถขึ้นรถฟรีได้เลยค่ะ

ข้อดีของการใช้เส้นทาง Shin Takaoka
1. มีเที่ยวรถบัสให้บริการถึง 5 เที่ยว/ต่อวัน
2. ไม่จำเป็นต้องจองล่วงหน้า
3. วิวทิวทัศน์สองข้างทางสวยงามมากๆ

ทำไมคนไทยถึงนิยมไปเที่ยว ชิราคาวาโกะ?

หมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go) ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมโดยยูเนสโกเมื่อปี คศ.1995 ภายในหมู่บ้านที่สวยงามและเป็นแบบญี่ปุ่นแท้ดั้งเดิม เป็นบ้านชาวนาโบราณที่มีอายุมากกว่า 250 ปี ชิราคาวาโกะ เป็นหมู่บ้านในฝันของใครหลายคน ที่มีความสวยทั้งกลางวันและกลางคืน มีทิวทัศน์สวยงาม ทำให้นักท่องเที่ยวหลายต่อหลายคนอยากมาสัมผัสกับบรรยากาศแบบดั้งเดิมสุดคลาสสิคที่นี่ 

ชิราคาวาโกะ หมู่บ้านมรดกโลกที่มีเสน่ห์แตกต่างกันทุกช่วงฤดู

ฤดูร้อน เป็นฤดูที่มีต้นไม้สีเขียวขจี ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ดูสดชื่นไปหมด

ฤดูใบไม้ร่วง หรือฤดูใบไม้เปลี่ยนสี เราจะเห็นใบไม้ที่เต็มไปด้วยสีส้ม และสีแดง ทั่วทั้งหมู่บ้าน ดูมีเสน่ห์น่าหลงใหลไปอีกแบบ

ฤดูใบไม้ผลิ เราจะเห็นดอกซากุระบานอยู่เต็มไปทั่วทุกพื้นที่ของหมู่บ้าน งดงามมากๆ

ฤดูหนาว จะมีหิมะขาวโปรยปราย ปกคลุมไปทั่วบ้านเรือนและต้นไม้ใบหญ้า ดูมีเสน่ห์ล้นเหลือที่สุด

สนามบินใกล้ ชิราคาวาโกะ

สนามบินที่อยู่ใกล้ ชิราคาวาโกะ มากที่สุดมีอยู่ 2 สนามบิน
1 สนามบินคันไซ (Kansai Airport) อยู่ในภูมิภาคคันไซ สามารถนั่งรถไฟขบวน ธันเดอร์เบิร์ด จากคันไซมาที่คานาซาว่าได้เลย
2 สนามบินชบุ เซ็นแทรร์ (Chubu Centrair Airport) อยู่ในเมืองนาโกย่า นั่งขบวนรถไฟ (WIDE VIEW) HIDA ไปลงที่ทาคายาม่า

สรุปข้อแตกต่างการเดินทางแบบจองล่วงหน้า และแบบไม่ต้องจองล่วงหน้า แตกต่างกันอย่างไร

แบบจองล่วงหน้า
1. ใช้เวลาเดินทางโดยรถบัส ประมาณ 1 ชั่วโมง
2. วิธีการจองค่อนข้างยุ่งยาก และอาจมีค่าใช้จ่ายในการโทรต่างประเทศค่อนข้างสูง
3. หาก Walk In เพื่อไปที่สถานีทาคายาม่า ซึ่งมีเที่ยวรถค่อนข้างน้อยเราอาจจะไม่มีที่นั่ง
4. การเดินทางจากสนามบิน ใช้ระยะเวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงกว่า เท่านั้น

แบบไม่ต้องจองล่วงหน้า ที่สถานี Shin Takaoka
1. ใช้เวลาเดินทางโดยรถบัส ประมาณ 1 ชั่วโมง 50 นาที
2. สามารถ Walk In ไปขึ้นรถบัสได้เลย และมีที่นั่งแน่นอน
3. มีรถบัสให้บริการถึง 5 เที่ยว/ต่อวัน
4. การเดินทางจากสนามบิน ต้องเดินทางต่อโดยรถไฟชินคันเซ็น ที่ทาคายาม่า และคานาซาว่า ใช้เวลาเพิ่มขึ้นอีก 20 นาที

JR Takayama-Hokuriku Area Tourist Pass

ถ้าเพื่อนใช้ตั๋ว JR Takayama-Hokuriku แบบ 5 วัน ก็สามารถนั่งรถบัสเข้าหมู่บ้านชิราคาวาโกะ ได้ฟรีทั้ง 3 เส้นทางคือ คานาซาว่า ทาคายาม่า และชิน ทาคาโอกะ
นอกจากนี้ยังสามารถใช้เที่ยวได้ที่ภูมิภาคคันไซ ภูมิภาคชุบุ และนาโกย่า ซึ่งจะมีที่ท่องเที่ยวเช่น
> เกโระออนเซ็น ออนเซ็นที่ตั้งอยู่ในเมืองเกโระ จ.กิฟุ เป็น 1 ใน 3 ออนเซ็นขึ้นชื่อของญี่ปุ่น
> Fukui Prefectural Dinosaur Museum พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังอันดับ 1 ในจังหวัดฟุกุอิ
> โอซาก้า เกียวโต โกเบ นารา
ซึ่งเพื่อนๆ สามารถใช้ Pass JR Takayama-Hokuriku ท่องเที่ยวได้เลยค่ะ

ปักหมุดที่เที่ยวญี่ปุ่นหน้าร้อนห้ามพลาด

หน้าร้อนของญี่ปุ่น ร้อนแค่ไหน?

หน้าร้อนของญี่ปุ่นจะเริ่มในช่วงกลางเดือนมิถุนายน – กันยายน เดือนที่ร้อนที่สุดคือสิงหาคม อุณหภูมิสูงสุดโดยเฉลี่ยประมาณอยู่ที่ 30-35 องศาเซลเซียส ฤดูร้อนของญี่ปุ่นก็ไม่ต่างกับเดือนเมษายนของไทยมากเท่าไหร่ ดูแล้วหน้าร้อนของญี่ปุ่นก็ไม่ได้เป็นปัญหา หรืออุปสรรคสำหรับคนไทยสักเท่าไหร่ เพราะเรามีสภาพอากาศหน้าร้อนที่ใกล้เคียงกัน

ข้อดีของการเที่ยวญี่ปุ่นในหน้าร้อนก็มีหลายอย่างนะคะ
1. ตั๋วเครื่องบิน และที่พักราคาถูก เพราะเป็นช่วง Low Season ทำให้ราคาตั๋วเครื่องบินถูกลง โดยเฉพาะราคาที่พักถูกลงมากกว่าปกติ
2. จัดกระเป๋าเดินทางง่าย เนื่องจากไม่ใช่ฤดูหนาว เราจึงไม่ต้องขนเสื้อผ้ากันหนาวตัวใหญ่ๆ น้ำหนักเยอะๆ ให้ลำบากไงล่ะคะ
3. สินค้าในญี่ปุ่นช่วงฤดูร้อน ลดราคาค่อนข้างมาก สำหรับใครที่เป็นนักช้อป ต้องไม่อยากพลาดแน่นอนค่ะ
4. ไม่ต้องแออัดยัดเยียด เบียดเสียดกับใคร มีนักท่องเที่ยวน้อยกว่าช่วงอื่น ทำให้เราเดินเที่ยวได้แบบชิลๆ เลยค่ะ

วันนี้ขอเลือกสถานที่เที่ยวหน้าร้อนที่ไม่ควรพลาด และน่าสนใจมาให้เพื่อนๆ ชมกันค่ะ

เขื่อนคุโรเบะ (Kurobe Dam)

เขื่อนคุโรเบะ เป็นเขื่อนที่ผลิตไฟฟ้าจากพลังน้ำที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น และยังมีสันเขื่อนแนวโค้งใหญ่ที่สุดอีกด้วย ก่อสร้างแล้วเสร็จในปีค.ศ.1963 รวมระยะเวลาก่อสร้างประมาณ 7 ปี ด้วยแรงงานคนประมาณ 10 ล้านคน ถือว่าสิ่งก่อสร้างแห่งนี้ได้สืบทอดผลงานที่ยิ่งใหญ่แห่งศตวรรษ
ไฮไลท์ของเขื่อนแห่งนี้คือการปล่อยมวลน้ำจำนวนมหาศาลออกมาจากสันเขื่อนที่มีความสูงถึง 186 เมตร โดยจะปล่อยให้นักท่องเที่ยวได้ชมในช่วงเวลาที่จำกัด คือตั้งแต่เดือนมิถุนายน – ตุลาคม เท่านั้น เราจะได้เห็นมวลน้ำขนาดใหญ่ที่พุ่งกระเซ็นออกมากระทบกับแสงแดดในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส ทำให้เห็นรุ้งกินน้ำสีสันสวยงาม และทิวเขาที่มีต้นไม้สีเขียวครึ้มสลับกับร่องรอยของหิมะบางๆบนยอดเขา เป็นบรรยากาศที่งดงามเกินจะบรรยายจริงๆ อยากให้เพื่อนๆได้มาสัมผัสกับมนต์เสน่ห์ของเขื่อนคุโรเบะด้วยตัวเองค่ะ

ทะเลสาบมิคุริกะ (Lake Mikuriga)

ทะเลสาบปล่องภูเขาไฟทาเตยามะ ซึ่งตั้งอยู่บนความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 2,405 เมตร ถึงแม้ว่าทะเลสาบแห่งนี้จะถูกปกคลุมด้วยหิมะอยู่ตลอดเวลาจนถึงเดือนมิถุนายน แต่พอเข้าเดือนกรกฎาคม น้ำแข็งจะเริ่มละลายเราจะมองเห็นผิวน้ำสีฟ้าคราม สะท้อนภาพภูเขาทาเตยามะอย่างงดงาม ยาวไปจนถึงเดือนตุลาคมก่อนเข้าฤดูหนาว

ทะเลสาบมิคุริกะ มีเนื้อที่ประมาณ 30,000 ตารางเมตร ความลึก 15 เมตร ความยาวรอบทะเลสาบ 631 เมตรจึงเป็นทะเลสาบที่ใหญ่และลึกที่สุดในมุโรโด ที่รายล้อมไปด้วยป่าสน และบริเวณรอบๆทะเลสาบยังเต็มไปด้วยพืชพันธุ์ไม้ป่า นานาชนิด เหมาะอย่างยิ่งที่จะสูดอากาศอันแสนบริสุทธิ์กับธรรมชาติที่สวยงาม ที่นึ่จึงเป็นอีกแห่งหนึ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางมาชมอย่างไม่ขาดสาย

หมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go)

หมู่บ้านมรดกโลก ชิราคาวาโกะ ที่ตั้งอยู่ในหุบเขาตามแม่น้ำโชกาวะ (Shokawa River) ในเขตจังหวัดกิฟู (Gifu) ทางตอนกลางของเกาะฮอนชู ซึ่งเป็นบ้านชาวนาโบราณที่มีอายุมากกว่า 250 ปี ไฮไลท์ของที่นี่คือการได้เดินชมบ้านที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นสไตล์ กัสโชสึคุริ (Gassho-zukuri) เป็นบ้านแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม ชื่อนี้ได้มาจากคำว่า “กัสโช”  ซึ่งแปลว่า “พนมมือ”

ชิราคาวาโกะ เป็นหมู่บ้านในฝันของใครหลายคน ที่มีความสวยทั้งกลางวันและกลางคืน มีทิวทัศน์สวยงาม ทำให้นักท่องเที่ยวหลายต่อหลายคนอยากมาสัมผัสกับบรรยากาศแบบดั้งเดิมสุดคลาสสิคที่นี่ และยังมีมุมถ่ายรูปสวยๆมากมาย

เกาะอิชิงากิ (Ishigaki Island)

เกาะอิชิงากิ เป็นเกาะหลักของหมู่เกาะยาเอยามะ ที่ใหญ่เป็นอันดับสามในจังหวัดโอกินาวา บนเกาะมีหาดทรายขาวเนียนละเอียดมากมาย โดยเฉพาะที่หาดโยเนะฮาระ (Yonehara) เป็นจุดเล่นน้ำและดำน้ำตื้นยอดนิยม ธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ สามารถมองเห็นแนวปะการังสวยงาม เป็นที่เที่ยวที่เหมาะสุดๆ ในการมาเที่ยวหน้าร้อน

ภูมิอากาศของเกาะอิชิงากินั้นอบอุ่นตลอดทั้งปี โดยในช่วงฤดูร้อนมีอุณหภูมิประมาณ 30°C และในฤดูหนาวมีอุณหภูมิประมาณ 20°C ด้วยเหตุนี้คุณสามารถไปเที่ยวได้ตลอดทั้งปี แต่ถ้าต้องการไปเล่นน้ำทะเลและทำกิจกรรมในทะเล แนะนำให้ไปในช่วงระหว่างเดือนมีนาคมถึงตุลาคมค่ะ

ทุ่งดอกไฮเดรนเยีย เมืองฮาโกเน่

ดอกไฮเดรนเยีย (Hydrangea) หรือที่ญี่ปุ่นเรียกว่า ดอกอาจิไซ (Ajisai) ของเมืองฮาโกเน่ (Hakone) จังหวัดคานางาวะ (Kanagawa)
เป็นดอกไม้ที่ออกดอกเป็นช่อสวยงามหลากสี มีทั้งสีขาว ฟ้า ชมพู เราสามารถชมทุ่งดอกไฮเดรนเยียด้วยการนั่งรถไฟสายอาจิไซ ซึ่งจะวิ่งผ่านทุ่งดอกไม้เป็นทางยาวสวยงามมาก โดยดอกไฮเดรนเยียจะเริ่มเบ่งบานในช่วงเดือนมิถุนายน และยังเป็นช่วงเวลาที่สถานที่ต่างๆ เช่น วัด ถนน และพิพิธภัณฑ์ของเมือง หรือแม้แต่ทะเลสาบก็ยังเต็มไปด้วยดอกไฮเดรนเยีย บอกเลยค่ะว่าเส้นทางรถไฟสายนี้สุดแสนจะโรแมนติกที่สุดเลยค่ะ

ทุ่งลาเวนเดอร์ (Lavender)

ทุ่งลาเวนเดอร์ในญี่ปุ่นมีอยู่หลายที่ เราอยากแนะนำเพื่อนๆไปชมความงามของที่นี่เลยค่ะ
ฟาร์มโทมิตะ (Tomita Farm) ตั้งอยู่ในเมืองฟุราโนะ (Furano) จังหวัดฮอกไกโด (Hokkaido) เรียกได้ว่าเป็นฟาร์มที่มีชื่อเสียงในเรื่องของทุ่งดอกไม้ที่มีความสวยมากๆที่สุดแห่งหนึ่ง ถือว่าที่นี่เป็นจุดชมทุ่งลาเวนเดอร์ที่ดีที่สุดของเมือง เพราะว่าทิวทัศน์และบรรยากาศงดงามมาก ยังมียังฉากหลังเป็นภูเขาโทกะชิ (Tokachi mountain) จะถ่ายภาพมุมไหนก็บอกเลยว่าฟินสุดๆค่ะ

นอกจากจะมีชื่อเสียงเรื่องการปลูกลาเวนเดอร์แล้ว ที่นี่ยังมีดอกไม้อีกหลากหลายสายพันธุ์ เป็นทุ่งดอกไม้ 7 สี หรือ ทุ่งอิโรโดริ (Irodori Field) ที่มีทั้งสีม่วง สีขาว สีแดง สีส้ม สีชมพู เรียงรายกันอยู่เต็มทุ่งอย่างสวยงาม และที่ไม่ควรพลาดเลย ต้องมาชิมซอฟท์ครีมลาเวนเดอร์ ที่หอมหวาน อร่อยมากกกก

ฟลาวเวอร์แลนด์ (Flower Land)

ฟลาวเวอร์แลนด์ เมืองฟุราโนะ (Furano) จังหวัดฮอกไกโด (Hokkaido) ทุ่งดอกไม้ใหญ่เวอร์สมชื่อ ฟลาวเวอร์แลนด์ มีดอกไม้หลายชนิดหลายสายพันธุ์ หลากสีสันผลัดกันเบ่งบานในฤดูกาลของตัวเอง เช่น ดอกลาเวนเดอร์ ดอกป๊อบปี้ และอีกมากมายหลายอย่าง ปลูกลดหลั่นกันบนเนินเขาอย่างสวยงาม เหมาะอย่างยิ่งที่จะมาพักผ่อน สูดอากาศที่บริสุทธิ์ได้อย่างเต็มปอด สัมผัสกลิ่นหอมของดอกไม้ได้อย่างเพลิดเพลิน

เราพบกับความสวยงามเหล่านี้ได้ในช่วงเดือนมิถุนายนไปจนถึงกลางเดือนสิงหาคม ของทุกปีเลยค่ะ ที่นี่มีรถนำเที่ยวชมทุ่งดอกไม้และพื้นที่ในไร่ เป็นรถลากด้วยแทรคเตอร์ อินกับบรรยากาศสุดฟินของการเที่ยวแบบชาวไร่ นอกจากนั้นยังมีกิจกรรม work shop หลายอย่าง ทั้งหมอนจากดอกไม้แห้ง ถุงหอม การ์ดที่ทำจากดอกไม้ และป้ายน่ารักๆ ที่เอากลับมาเป็นที่ระลึกได้อีกด้วยค่ะ

ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Shrine)

ศาลเจ้าเมจิ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองโตเกียว (Tokyo) ในย่านฮาราจุคุ (Harajuku) ใกล้กับสถานี JR Harajuku

เป็นศาลเจ้าที่สร้างขึ้นเพื่อสักการะบูชาพระจักรพรรดินี แห่งราชวงศ์เมจิ สร้างขึ้นในปี 1915 จนถึงปี 1920 เป็นศาลเจ้าเก่าแก่ในกรุงโตเกียว ทางเข้าเราจะเห็นเสาโทริอิ (Torii) เป็นเสมือนประตูไม้ให้เราได้เดินเข้าไปสู่โลกแห่งเทพเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์ บริเวณโดยรอบศาลเจ้าเต็มไปด้วยต้นไม้กว่า 365 สายพันธ์ ประมาณ 120,000 ต้น พื้นที่นี้มีสีเขียวมากมายและระบบนิเวศที่สมบูรณ์มาก อากาศและบรรยากาศโดยรอบ แทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเรากำลังอยู่ใจกลางกรุงโตเกียว ความสงบเงียบ ความร่มรื่น สูดหายใจได้อย่างเต็มปอด และสดชื่นมากๆ เป็นที่หลบร้อนในช่วงหน้าร้อนของญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี ที่นี่กลายเป็นสถานที่ที่ผู้คนมากมายต่างหลงรักค่ะ

เป็นยังไงกันบ้างคะ กับที่เที่ยวหน้าร้อนในญี่ปุ่น ที่เรานำมาให้ดูเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น สถานที่ท่องเที่ยวของญี่ปุ่นยังมีที่น่าสนใจอีกหลายแห่งเลยค่ะ ฝากเพื่อนๆติดตาม Japan All Pass นะคะ ว่าเราจะพาเพื่อนๆ ไปเที่ยวที่ไหนในญี่ปุ่นกันต่อค่ะ