ชมความงดงามของศาลเจ้า Konpira Shrine จังหวัดคางาวะ

ศาลเจ้าคอนปิระ (Konpira Shrine) เป็นศาลเจ้าชินโต ตั้งอยู่ที่เมืองโคโตฮิระ (Kotohira) จังหวัดคางาวะ (Kagawa) ประเทศญี่ปุ่น (Japan) เป็นศาลเจ้าที่อยู่บนภูเขาโซซุ (Zouzu) ที่มีความสูง 521 เมตร (1,709 ฟุต) อยู่เหนือระดับน้ำทะเล ชาวญี่ปุ่นทราบกันดีว่าศาลเจ้าคอนปิระนั้นเป็นศาลเจ้าหลัก ของศาลเจ้า “โคโตฮิระ” หรือ “คอนปิระ” ซึ่งในประเทศญี่ปุ่นก็มีอยู่หลายแห่ง

ศาลเจ้า Konpira Shrine แห่งนี้ได้รับความศรัทธาจากชาวญี่ปุ่นมาตั้งแต่สมัยโบราณ ว่ากันว่าเป็นสถานที่สถิตของเทพเจ้าแห่งท้องทะเลโอโมโนะนุชิ ที่ช่วยปกปักคุ้มครองนักเดินเรือให้แคล้วคลาดปลอดภัย สำหรับนักท่องเที่ยวคนไหนที่จะขึ้นไปบนศาลเจ้านั้น ตัวศาลเจ้าจะตั้งอยู่สุดทางเดินยาวมีบันได 785 ขั้นสู่ศาลเจ้าหลัก และรวม 1,368 ขั้นไปยังศาลเจ้าด้านใน

ศาลเจ้า Konpira Shrine สร้างขึ้นครั้งแรกในช่วยศตวรรษที่ 1 ตั้งแต่สมัยเอโดะ ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นที่รู้จักคุ้นเคยกันอย่างลึกซึ้งของคนญี่ปุ่น ที่มีความเชื่อกันว่าเป็น “ต้องมาสักการะศาลเจ้าให้ได้สักครั้งในชีวิต” เลยทีเดียว รูปแบบของศาลเจ้ามีการผสมผสานทางด้านวัฒนธรรมตามความเชื่อระหว่าง “ชินโต” กับ “พุทธศาสนา” เข้าด้วยกัน มีการจาริกแสวงบุญที่ศาลเจ้าก็ได้รับความนิยม และแม้กระทั่งทุกวันนี้ผู้มาเยี่ยมชมหลายร้อยคนในหนึ่งวันก็ปีนขึ้นบันไดของภูเขาโซซุ

ทิวทัศน์โดยรอบของศาลเจ้าจะมีสิ่งก่อสร้างอาคารที่ออกแบบอย่างสวยงาม พร้อมเป็นย่านการค้ามีร้านจำหน่ายของที่ระลึก รวมไปถึงโรงน้ำชาหรือร้านคาเฟ่ที่ออกแบบสไตล์ดังเดิมของญี่ปุ่น ด้านในศาลเจ้าจะมีการจัดแสดงรูปภาพของเรือเดินทะเลต่างๆ ให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชม ทำให้ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตของคนไทยนั่นเอง ดูรายละเอียดเพิ่มเติม www.konpira.or.jp

ไคเซกิ มื้ออาหารชุดพิเศษ จากแดนอาทิตย์อุทัย

ไคเซกิ เป็นชุดอาหารที่มีความโดดเด่น ในเรื่องของวิธีการจัดเตรียมที่มีความละเอียดอ่อน ความสวยงามในการตกแต่ง และที่สำคัญ การนำความรู้สึกในแต่ละฤดูกาลมานำเสนอพร้อมดึงรสชาติที่มีความเป็นธรรมชาติของวัตถุดิบออกมา

2

ทำให้เห็นว่า วัตถุดิบของอาหารชุดไคเซกิ นั้นจะนำวัตถุดิบตามฤดูกาลนั้นๆ มาทำการปรุง เช่น  หน่อไม้ ในฤดูใบไม้ผลิ, เห็ดมัตสึทะเกะ ในฤดูใบไม้ร่วง, และปลาโอ ในต้นฤดูร้อน ลักษณะของอาหารจะเป็นจานเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยสีสัน วิธีการนำเสนอวัตถุดิบแต่ละจาน ล้วนแสดงถึงวัฒนธรรมของญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม

3 20160301_172944 (Medium) 1

ไคเซกิ จะเสิร์ฟเป็นคอร์ส และให้บริการทีละอย่าง (คนละ 1 จานจนครบทุกคอร์ส)  ซึ่งตามธรรมเนียมดั้งเดิม จะประกอบด้วยมิโสะซุป และอาหารเคียงสามอย่าง ต่อมาได้มีการพัฒนาขึ้นมา โดยมีอาหารเรียกน้ำย่อย, ปลาดิบ และยังมีอาหารพิเศษอื่นๆ อีกมากขึ้น

  • อาหารเรียกน้ำย่อยขนาดเล็ก ซึ่งคล้ายกับ “อมุส-บูช” ในอาหารฝรั่งเศส
  • วัตถุดิบตามฤดูกาล มักจะรวมซูชิ หรือข้าวปั้น
  • ปลาดิบหรือซาซิมิ
  • อาหารประเภทตุ๋น ทั้งเนื้อสัตว์ เนื้อปลา ผักหรือเต้าหู้
  • ซุปประเภทต่างๆ
  • อาหารประเภทย่างไฟ เช่น ปลาย่าง
  • อาหารประเภทผักดอง ที่มีรสเปรี้ยว
  • ผักปรุงสุกแบบเย็น (จะมีบริการเฉพาะฤดูร้อน)
  • อาหารจานหลัก เช่น อาหารหม้อไฟ พร้อมข้าวสวย
  • ของหวานตามฤดูกาล ซึ่งอาจรวมถึง ผลไม้ หรือไอศกรีม

20160301_192223 (Medium)

20160301_194441 (Medium)

20160301_203859 (Medium)

พูดได้เลยว่า อาหารชุดไคเซกิ ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของวัฒนธรรมญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม และยังมีความพิถีพิถันในการคัดเลือกวัตถุดิบ การนำเสนอ รวมถึงการตกแต่งที่สวยงาม ซึ่งนอกเหนือจากรสชาติที่มีความเป็นญี่ปุ่นดั้งเดิมแล้ว ความสด อร่อย ก็ยังคงเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกอีกด้วย

>> สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บริษัท เจแปน ออล พาส จำกัด ( Japan All Pass Co.Ltd. )

โทร. 02-514-7473 (วันจันทร์-เสาร์ เวลา 09.00-18.00 น.)
หรือติดต่อฝ่ายขายโดยตรงได้ที่ LINE : https://lin.ee/jKISGty

ปราสาท Okayama ปราสาทอีกาที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน

ปราสาท Okayama ถือเป็นปราสาทที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ตั้งอยู่ที่เมืองโอกายามะ (Okayama) จังหวัดโอกายามะ (Okayama) ประเทศญี่ปุ่น (Japan) ปราสาทแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1597 โดยแม่ทัพฮิเดะอิเอะ อุคิตะ ด้านนอกปราสาทถูกตกแต่งด้วยไม้กระดานเคลือบเงาสีดำ ทำให้ปราสาทนี้ได้สมยานามว่า “ปราสาทอีกา”

เนื่องจากหอคอยหลักของ ปราสาทโอคายาม่า (Okayama Castle) ที่ได้บรรจุเป็นสมบัติแห่งชาติตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ถูกเผาทำลายเสียหายจากภัยสงคราม จึงได้รับการบูรณะสร้างขึ้นใหม่อีกครั้ง ด้วยโครงสร้างคอนกรีตในปี ค.ศ. 1966 และได้มีการติดตั้งเครื่องปรับอากาศ ลิฟต์ และสถานที่สำหรับการจัดแสดงเอกสารทางประวัติศาสตร์ของปราสาทเพิ่มเติมอีกด้วย

ปราสาท Okayama คือ ปราสาทที่ถูกสร้างขึ้นที่เมืองโอกายาม่า ลักษณะการออกแบบและก่อสร้างมีรูปร่างและหน้าตาของกำแพงที่โดดเด่น โดยการใช้กระเบื้องสีดำในการตกแต่ง แถมปราสาทแห่งนี้ยังอยู่ในที่ตั้งของ “สวนโคราคุเอ็น” (Korakuen) สวนญี่ปุ่น ที่ติดอันดับ 1 ใน 3 ของสวนที่สวยที่สุดในประเทศญี่ปุ่น และพื้นที่มีขนาดกว้างใหญ่ถือเป็นดวงใจของปราสาทนี้อีกด้วย

ตัว ปราสาท Okayama ถูกรายล้อมไปด้วยธรรมชาติที่ร่มรื่น และมีความสวยงามอย่างลงตัว ทำให้นักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ต่างเดินทางมาชื่นชมความงดงามของปราสาทแห่งนี้ นอกจากนี้ภายในปราสาทยังตกแต่งในรูปแบบที่ทันสมัย รวมถึงมีการจัดสัดส่วนเพื่อใช้แสดงประวัติความเป็นมาของการสร้างปราสาท และยังมีหอสังเกตการณ์ที่มีชื่อว่า “ซึคิมิ ยาคูระ” (Tsukimi Yagura) ที่ยังคงหลงเหลือเค้าโครงเดิมตั้งแต่ตอนสร้างปราสาทมาจนถึงปัจจุบัน

แต่ก็น่าเสียดายที่มีบางส่วนได้ถูกทำลายลงไป ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สำหรับด้านภายในของ ปราสาท Okayama นักท่องเที่ยวยังสามารถสัมผัสวัฒนธรรมดั้งเดิม ที่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชาวญี่ปุ่นไว้อีกด้วย

รายละเอียดเพิ่มเติม:
เปิดบริการ: เวลา 09.00 – 17.30 (17.00 ประตูปิด)
วันหยุดประจำปี: วันที่ 29 ธันวาคม – 31 ธันวาคม
ค่าเข้าชม: ผู้ใหญ่ 300 เยน (ค่าชมปราสาท), ผู้ใหญ่ 800 เยน (ช่วงจัดงานเทศกาล), ผู้ใหญ่ 560 เยน (แพคเกจรวม) สวนโคราคุเอ็นและปราสาทโอกายาม่า
การเดินทาง: โดยรถรางจากสถานี JRโอกายาม่า ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 นาที มาลงที่สถานี Shiroshita เดินทางต่ออีกประมาณ 10 นาที หรือเดินจากสถานี JRโอกายาม่า ใช้เวลาเดินทางประมาณ 25 นาที
ดูรายละเอียดเพิ่มเติม: https://okayama-kanko.net/ujo/

Maizuru Port Toretore Center, Kyoto ตลาดปลาสดๆ ทางตอนเหนือของเกียวโต

Maizuru Port Toretore Center, Kyoto ตลาดปลาสดๆ ขนาดใหญ่อยู่ทางตอนเหนือของเกียวโต ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวชาวไทยเป็นอย่างมาก ตั้งอยู่ที่เมืองไมซูรุ (Maizuru) จังหวัดเกียวโต (Kyoto) ประเทศญี่ปุ่น (Japan) ภายในตลาดมีบริการจำหน่ายทั้งอาหารทะเลสดๆ จากทะเลญี่ปุ่น กุ้ง หอย ปู ปลา อาหารทะเลแบบครบครัน จะซื้อกลับไปปรุงที่บ้าน หรือเลือกซื้อแบบที่ทางร้านปรุงให้เสร็จเรียบร้อยก็ได้ บางร้านก็มีอาหารทะเลแบบเสียบไม้ให้ได้เลือก เมื่อทำการเลือกเสร็จแล้วทางร้านก็จะนำไปปิ้งหรือย่างให้ร้อนๆ นักท่องเที่ยวสามารถนั่งทานด้านในตลาดได้เลย นอกจากนี้ก็ยังมีอาหารทะเลแปรรูปหลากหลายเมนูให้ได้เลือกซื้อกลับไปเป็นของฝากอีกด้วย

ท่าเรือ Kyoto Maizuru ถือเป็นท่าตลาดปลาที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดเกียวโต และเป็นศูนย์กลางทางการค้าระหว่างประเทศ ถือเป็นฐานการประมงที่ใหญ่ที่สุด ทำให้ที่ Maizuru Port Toretore Center เป็นตลาดอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดของประเทศญี่ปุ่น ด้วยความสดของอาหารทะเล บวกกับราคาไม่แพง และความหลากหลายของอาหารทะเล ทำให้ที่นี่มีความโดดเด่นกว่าตลาดปลาที่อื่นๆ

ความพิเศษของตลาดปลา Maizuru Port Toretore Center คืออาหารทะเลที่มีความหลากหลาย มีจำหน่ายตลอดทั้งปี เช่น หอยนางรมอิวากิ และโทริไกสำหรับฤดูร้อน และปูราชาแห่งอาหารฤดูหนาว ไม่เพียงแต่ปลาและหอยสดเท่านั้น แต่ยังมีอาหารทะเลแปรรูปไว้จำหน่ายอีกเพียบ ภายในตลาดแห่งนี้มีบริการเอกสารโบรชัวร์ที่บรรยายข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษ จีน และเกาหลีคอยให้บริการแก่นักท่องเที่ยวอีกด้วย

การเดินทางโดยรถไฟ JR Kyoto Station ไปลง Ayabe Station แล้วต่อรถไฟ Maizuru Line (Local Higashi – Maizuru) ไปลง Nishi – Maizuru Station เดินต่อไปอีกประมาณ 30นาทีถึง Maizuru Port Tore Tore Center (ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ2ชั่วโมงครึ่ง)

รายละเอียดเพิ่มเติม:
ที่อยู่: 905 ชิโมฟุคุอิ ไมซูรุ เกียวโต
โทรศัพท์: 0773-75-9945
เปิดบริการเวลา: 9:00 – 17:00 น.
บริการที่จอดรถ: ความจุ 200 คันและรถบัส 8 คัน

Hells of Beppu บ่อน้ำพุร้อนแห่งเบปปุ

Hells of Beppu บ่อน้ำพุร้อนแห่งเบปปุ เป็นบ่อน้ำพุร้อนหลากสีมีทั้งหมด 8 บ่อ ถือเป็นสถานที่ขึ้นชื่อของเบปปุ (Beppu) เมืองในจังหวัดโออิตะ (Oita) ประเทศญี่ปุ่น (Japan) สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้ คนที่นี่เรียกว่า จิโกกุ เมกุริ (Jigoku Meguri) หรือบ่อนรกนั่นเอง แต่ละบ่อก็จะมีลักษณะและสีของน้ำที่แตกต่างกันไป ซึ่งล้วนเกิดจากธรรมชาติมาแล้วกว่าพันปี

Hells of Beppu เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่รวบรวมบ่อนรกจำนวนนับไม่ถ้วนในเมืองเบปปุ เขตโออิตะ ที่นี่จึงถูกยกให้เป็นแหล่งทิวทัศน์แห่งชาติในวันที่ 23 กรกฎาคม 2009 โดยน้ำพุร้อนหนึ่งใน 8 แห่ง ที่มีชื่อเสียงมากเป็นอันดับต้นๆ ของที่นี่ ก็คือ บ่อน้ำพุร้อนสีเลือด (Blood Pond Hot Spring) หรือ ชิโนอิเกะ จิโกกุ (Chinoike Jigoku) บ่อน้ำพุร้อนสีแดงคล้ายกับสีเลือด เกิดจากน้ำแร่ใสบริสุทธิ์ไหลมารวมกับแร่ธาตุธรรมชาติเข้มข้น ทำให้เกิดเป็นสีชาเกือบแดง ที่ดูเหมือนสีสนิมขึ้นมาพร้อมปล่อยไอร้อนระอุออกมาตลอดเวลา

บ่อน้ำพุร้อน Hells of Beppu ทั้งหมด 8 บ่อ มีดังนี้

1. อุมิ จิโกกุ Umi Jigoku (ทะเลนรก) บ่อทะเลนรกอุมิ จิโกกุ ถือเป็นบ่อที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาบ่อน้ำพุร้อนทั้งหมด มีความลึกประมาณ 200 เมตร น้ำในบ่อจะเป็นสีน้ำเงินโคบอลต์หรือคล้ายกับสีของน้ำทะเล (ตามชื่อ อุมิ ที่แปลว่า ทะเล ในภาษาญี่ปุ่น) อุณหภูมิของบ่อนี้จะอยู่ที่ประมาณ 98 องศา ด้วยน้ำที่มีความร้อนมากจึงทำให้เกิดควันสีขาวลอยขึ้นมาทำให้เกิดความสวยงามเป็นอย่างมาก

2. ชิโนเกะ จิโกกุ Chinoke Jigoku (นรกบ่อเลือด) บ่อน้ำพุร้อนชิโนเกะ หรือบ่อโคลนสีแดง เป็นบ่อน้ำพุทางธรรมชาติที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น มีอุณหภูมิสูงถึง 78 องศา เกิดจากปฏิกริยาใต้พื้นดิน ทำความร้อนจากเหล็กออกไซด์กับแมกนีเซียมรวมกัน จนปะทุออกมาเกิดเป็นโคลนสีแดง ทำให้น้ำในบ่อเป็นสีแดงไปด้วย หรือที่คนนิยมเรียกกันว่าบ่อเลือดนั่นเอง เหมือนการจำลองภาพกระทะทองแดงตามความเชื่อของเรานั่นเอง

3. ทัตสึมากิ จิโกกุ Tatsumaki Jigoku (นรกทอร์นาโด) บ่อน้ำพุทัตสึมากิ เป็นบ่อที่จะมีน้ำพุพุ่งออกมาทุกๆ 25-30 นาทีและมีอุณหภูมิของน้ำใต้ดิน 150 องศา นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ถึงกับนั่งรอเวลา เพื่อดูขณะน้ำพุพุ่งออกมากันเลย บ่อแห่งนี้เป็นแหล่งของไกเซอร์ (Geyser) น้ำพุร้อนที่ปล่อยน้ำเดือดกับไอร้อนออกมาเป็นช่วงเวลาทุกๆ 30 นาทีและพุ่งได้ได้สูงถึง 50 เมตรเลยทีเดียว

4. ชิราอิเกะ จิโกกุ Shiraike Jigoku (นรกบ่อขาว) บ่อน้ำพุร้อนชิราอิเกะ หรือบ่อน้ำพุร้อนสีขาว ในบ่อแห่งนี้จะประกอบไปด้วยเกลือของกรดบอริก, โซเดียมคลอไรด์, กรดซิลิก และแคลเซียมไบคาร์บอเนต นักท่องเที่ยวจึงมองเห็นออกเป็นสีขาวปนฟ้า ที่ถูกเรียกว่าบ่อขาวเนื่องจากหมอกที่เกิดขึ้นจากน้ำร้อนเป็นสีขาว

5. โอนิอิชิ โบสุ จิโกกุ Oniishi Bozu Jigoku (นรกพระปีศาจหิน) บ่อแห่งนี้มีลักษณะแปลกตาที่สุด จะเป็นบ่อโคลนสีเทาที่มีความร้อน 99 องศา มองดูแล้วจะให้ความรู้สึกเหมือนเห็นโคลนที่กำลังเดือด บ่อนี้ที่มีชื่อว่าบ่อนรกโอนิอิชิโบสุ ว่ากันว่ามาจากโคลนที่ผุดออกมา มีลักษณะคล้ายกับหัวของพระสงฆ์ (คำว่า โบสุ แปลว่า พระสงฆ์) อีกด้วย

6. โอนิยามะ จิโกกุ Oniyama Jigoku (นรกหุบเขาปีศาจ) บ่อนรกโอนิยามะ หรือที่เรียกอีกชื่อว่า “บ่อนรกจระเข้” เพราะที่บ่อแห่งนี้มีการเลี้ยงจระเข้อยู่ประมาณ 70 ตัว บ่อนี้มีการนำน้ำอุ่นจากบ่อน้ำพุไปใช้ เพื่อเลี้ยงสัตว์เขตร้อนอย่างจระเข้ (crocodile) และจระเข้ตีนเป็ด (alligator) ตั้งแต่ปี 1923 น้ำในบ่อจะมีลักษณะเป็นสีเขียวอ่อน

7. คามาโดะ จิโกกุ Kamado Jigoku (เตาไฟนรก) บ่อแห่งนี้เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวอีกบ่อ ตามตำนานเล่าว่าแต่ก่อนบ่อนี้เคยใช้เป็นที่ปรุงอาหารให้แก่เทพเจ้า ชื่อของที่นี่มาจากวัฒนธรรมของศาลเจ้า Kamado Hachiman หรือที่เรียกว่า Uchigamado ที่หุงข้าวศักดิ์สิทธิ์โดยใช้ไอร้อนจากน้ำพุ และน้ำในบ่อแต่ละจุดก็จะมีสีสันและคุณภาพน้ำที่แตกต่างกัน

8. ยามะ จิโกกุ Yama Jigoku (หุบเขานรก) สำหรับบ่อนี้จะเปรียบเสมือนเป็นโซนสวนสัตว์เล็กๆ ที่มีสัตว์หลายชนิดอาศัยอยู่รวมกัน อาทิเช่น นกฟลามิงโก้, ฮิปโป, ลิง และสัตว์อื่นๆ อีกมากมาย ตรงส่วนนี้นักท่องเที่ยวสามารถใกล้ชิดและให้อาหารสัตว์เหล่านี้ได้ด้วย บ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้จะออกมาจากโขดหินด้านข้างตลอดเวลา นอกจากที่นักท่องเที่ยวจะได้เดินชมบ่อน้ำพุร้อนต่างๆ แล้ว ที่นี่ยังจัดพื้นที่บริการจำหน่ายอาหาร เครื่องดื่ม และร้านค้าท้องถิ่นไว้คอยให้บริการแก่นักท่องเที่ยวอีกด้วย

รายละเอียดเพิ่มเติม:
เปิดบริการ: เวลา 08:00-17:00 น.
อัตราค่าบริการ: ผู้ใหญ่ 2,000 เยน, นักเรียนมัธยมปลาย 1,350 เยน, นักเรียนมัธยมต้น 1,000 เยน, นักเรียนประถมปลาย 900 เยน (สามารถชมได้ทั้ง 7 บ่อ)

สะพานไดอิจิเคียวเรียว Daiichi Kyouryou จ.ฟุคุชิมะ จุดชมวิวสะพานข้ามแม่น้ำทาดามิ

สะพานไดอิจิเคียวเรียว (Daiichi Kyouryou) จ.ฟุคุชิมะ เป็นจุดชมวิวรถไฟสายทาดามิ (Tadami Line) ช่วงสะพานไดอิจิเคียวเรียว (Daiichi Kyouryou) มุมจุดชมวิวที่มีทัศนียภาพอันงดงาม ยิ่งเมื่อถึงช่วงเวลาฤดูใบไม้เปลี่ยนสีและฤดูหนาว บรรยากาศจะเต็มไปด้วยสีสันที่มีความหลากหลายตามฤดูกาล ดูมีชีวิตชีวาเสมือนภาพถ่าย ถือได้ว่าที่นี่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆ ของจังหวัดฟุคุชิมะ (Fukushima) ประเทศญี่ปุ่น (Japan)

สะพานไดอิจิเคียวเรียว (Daiichi Kyouryou) จ.ฟุคุชิมะ มีรถไฟสายทาดามิที่แล่นผ่านสะพานข้ามแม่น้ำ เส้นทางรถไฟท่องเที่ยวสายนี้ ถือเป็นสายหลักในแถบ Oku-Aizu (พื้นที่ฝั่งตะวันตกของจังหวัด Fukushima) เส้นทางนี้จะเชื่อมระหว่างสถานี Aizu-Wakamatsu (เมือง Aizuwakamatsu, จังหวัด Fukushima) กับสถานี Koide (เมือง Uonuma,จังหวัด Niigata)

สะพานไดอิจิเคียวเรียว (Daiichi Kyouryou) จ.ฟุคุชิมะ เป็นวิวสะพานที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก ในการชมรถไฟสายทาดามิ ที่เคลื่อนผ่านเพียงแค่วันละไม่กี่เที่ยวเท่านั้น โดยเฉพาะเมื่อถึงช่วงใบไม้เปลี่ยนสี จุดชมวิวของที่นี่จะสวยและโรแมนติกสุดๆ ทำให้ที่นี่เป็นจุดชมวิวที่มีความสวยงามเป็นอย่างมาก เปรียบเสมือนรถไฟที่ถูกโอบล้อมไปด้วยธรรมชาติที่มีการเปลี่ยนแปลงสีสันไปตามฤดูกาล

การชมทัศนียภาพสวย ๆ พร้อมรถไฟที่วิ่งข้ามผ่านสะพาน จากภูเขาลูกหนึ่งไปสู่ภูเขาอีกลูกหนึ่ง สร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนเป็นอย่างมาก แถมบรรยากาศโดยรอบมีความเงียบสงบไม่วุ่นวาย แต่ละจุดท่องเที่ยวบนเส้นทางนั้นเต็มไปด้วยวิวสวยๆ ที่สามารถมาเที่ยวได้ทุกฤดูกาล

ดังนั้น สะพานไดอิจิเคียวเรียว (Daiichi Kyouryou) จ.ฟุคุชิมะ ถือได้ว่าเป็นจุดชมวิวเส้นทางรถไฟสาย Tadami Line สุดโรแมนติกที่สุดของจังหวัดฟุคุชิมะ
การเดินทาง:
– จากสถานี Koriyama ต่อรถไฟสาย JR Ban etsu west line ลงสถานี Aizu wakamatsu (ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 15 นาที)
– จากสถานี Aizu Wakamatsu (ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 20 นาที) ต่อรถไฟสาย JR Tadami Line มาลงที่สถานี Aizu Miyashita (ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที)