ล่องเรือในแม่น้ำโมกามิ Mogami River Boat Ride Yamagata

Mogami River Boat Ride Yamagata การล่องเรือชมวิวทิวทัศน์ในแม่น้ำโมกามิ ตั้งอยู่ที่ จังหวัดยามากาตะ (Yamagata) ที่นี่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก เนื่องด้วยบรรยากาศของทิวทัศน์ที่มีความแปลกตา โอบล้อมด้วยความงามแถบชนบทของประเทศญี่ปุ่น มีต้นไม้และภูเขาขนาบข้างตลอดข้างทาง ยิ่งถ้าช่วงฤดูหนาวจะมีหิมะปกคลุมไปทั่ว ให้บรรยากาศราวกับอยู่ในดินแดนแห่งความฝัน แต่ช่วงฤดูกาลอื่นก็สวยงามไม่แพ้กัน เมื่อเข้าถึงช่วงฤดูใบไม้ผลิ นักท่องเที่ยวจะได้ชื่นชมความสวยงามของดอกซากุระ ที่ขึ้นเต็มข้างทางสร้างความน่าหลงใหลเลยทีเดียว และช่วงฤดูใบไม้ร่วง นักท่องเที่ยวจะได้เห็นความสวยงามของใบไม้เปลี่ยนสี ที่มีความสวยงามตระการตาเหมือนดั่งภาพวาด ที่นี่ถูกจัดให้อยู่ในอันดับ 3 ที่มีแม่น้ำไหลเชี่ยวที่สุดในประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย

แม่น้ำโมกามิ (Mogami) นับได้ว่าเป็นหนึ่งในสามแม่น้ำหลักของประเทศญี่ปุ่น ที่ใช้สำหรับในการขนส่งสินค้าทางเรือจากทางภาคเหนือของญี่ปุ่นไปยังเกียวโตตั้งแต่ในสมัยเอโดะ การล่องเรือนั้นเริ่มจากหมู่บ้าน Tozawa ซึ่งเป็นจุดสำคัญของการขนส่งทางแม่น้ำ นักท่องเที่ยวจะได้ล่องเรือไปตามแม่น้ำ Mogami ข้ามจังหวัดยามะงาตะ โดยเรือจะเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ พร้อมชื่นชมบรรยากาศโดยรอบอย่างสนุกๆ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง พร้อมทั้งเติมเต็มการเดินทางให้สมบูรณ์ด้วยคนเรือร้องเพลงลำน้ำแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น

แม่น้ำแห่งนี้เป็นที่รู้จักมากขึ้นจากบทกลอน “แม่น้ำโมะกะมิ สั่งสมฝนเดือนห้า แสนเชี่ยวกราก” ของนักกวี มัตสึโอะ บะโช บะโช ได้แต่งกลอนนี้ขึ้นจากประสบการณ์ขณะที่ได้ล่องเรือผ่านแม่น้ำที่เชี่ยวกรากแห่งนี้ ในความหมายของบทกลอนนั้น ได้บรรยายถึงสภาพอันน่าตื่นตะลึง ในช่วงฤดูฝนที่ได้ล่องเรือขณะฝนตกหนักลงในแม่น้ำโมะกะมิ จนทำให้ในแม่น้ำเกิดน้ำไหลเชี่ยวกรากอย่างรุนแรง

สำหรับในช่วงฤดูหนาวการล่องเรือ Kotatsu ของที่นี่ ด้านในเรือจะมีบริการโต๊ะ Kotatsu ที่ให้ความร้อน เพื่อให้นักท่องเที่ยวรู้สึกอบอุ่นในขณะที่นั่งเรือ การนั่ง Kotatsu เป็นประเพณีที่ชาวญี่ปุ่นชื่นชอบมาก ซึ่งเป็นโต๊ะขนาดใหญ่มีเครื่องทำความร้อนติดอยู่ด้านล่าง คนญี่ปุ่นจำนวนมากนิยมใช้ เป็นวิธีที่สะดวกในการรักษาอุณหภูมิความอบอุ่นในช่วงที่อากาศเย็น

นอกจาก “เรือ Kotatsu” แล้ว ที่นี่ยังมีบริการ “เรือ Goza” ความโดดเด่นของเรือลำนี้จะมีการปูพรมด้านล่างของเรือ ที่ทำจากพืชสาน รวมถึง “เรือเสื่อทาทามิ” ที่มีแผ่นเสื่อทาทามิปูที่ด้านล่างของเรือ ไม่ว่าจะเป็นเรือประเภทใดนักท่องเที่ยวจะต้องนั่งบนพื้น และในขณะที่อยู่บนเรือต้องถอดรองเท้า แต่ถ้านักท่องเที่ยวคนไหนไม่ต้องการจะถอดรองเท้า ก็จะมีบริการให้นั่งเรือแบบโดยสาร ซึ่งเรือแบบนี้จะมีเก้าอี้บริการและเหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบนั่งบนพื้นอีกด้วย

อัตราค่าบริการเที่ยวเดียว:
– ผู้ใหญ่ (มัธยมต้นขึ้นไป) 2,450 เยน
– เด็ก (ประถมและต่ำกว่า) 1,230 เยน

อัตราค่าบริการไปกลับ:
– ผู้ใหญ่ (มัธยมต้นขึ้นไป) 3,340 เยน
– เด็ก (ประถมและต่ำกว่า) 1,670 เยน

เวลาทำการ:
– เดือนเมษายน – เดือนพฤศจิกายน เวลา 8.30 – 17.00 น.
– เดือนธันวาคม – เดือนมีนาคม เวลา 9.00 – 16.30 น.

การเดินทาง:
จากรถไฟสาย JR East Japan Rikuu West ไปยังสถานี Furukuchi แล้วเดินต่ออีก 5 นาที ก็จะถึงท่าเรือ

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม: https://www.blf.co.jp/index.html

Oyasu Hot Springs Akita จุดชมใบไม้เปลี่ยนสีและบ่อน้ำพุร้อนอายุกว่าพันปี

Oyasu Hot Springs Akita ถือเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีและมีบ่อน้ำพุร้อนอายุกว่าพันปี ตั้งอยู่ในหุบเขาลึกที่เมืองยูซาวะ (Yuzawa) เมืองทางตอนใต้สุดจังหวัดอาคิตะ (Akita) ประเทศญี่ปุ่น (Japan) ที่ “หุบเขาโอยาสุ” แห่งนี้เกิดจากการกัดเซาะของแม่น้ำมินาเสะที่ไหลผ่านหุบเขาเป็นรูปตัววี ระยะเวลายาวนานหลายพันปี ในส่วนของ Oyasu Onsen กล่าวกันว่า เป็นออนเซ็นอันเก่าแก่ที่ได้รับการก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่สมัยเอโดะตอนต้น มีน้ำพุร้อนทางธรรมชาติ ที่ร้อนถึง 98 องศา ด้วยความร้อนของน้ำพุแห่งนี้ ทำให้เกิดไอน้ำพุ่งลอยอยู่เหนือพื้นผิวจากรอยแยกของพื้นดินเบื้องล่าง ทำให้เกิดภาพบรรยากาศที่น่าอัศจรรย์และสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก

หุบเขาโอยาสุ (Oyasu Valley) เป็นแหล่งน้ำพุร้อนทางธรรมชาติที่ไม่ค่อยได้รับการพูดถึงสักเท่าไหร่ แต่เป็นที่รู้จักในหมู่ของคนท้องถิ่นมากกว่า ที่ Oyasu Hot Springs Akita มีเส้นทางเดินลงสู่หุบเขาที่ยาวประมาณ 60 เมตร นอกจากนี้ ที่นี่มีบริการออนเซ็นและบ่อแช่เท้าสาธารณะอยู่หลายแห่ง พื้นที่โดยรอบของแถบนี้ มีการเกิดรอยแตกจากความร้อนที่สะสมในชั้นใต้ดิน ทำให้เกิดลักษณะรูปแบบที่แปลกตา และที่นี่ถือได้ว่าเป็นสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีชื่อดังของอาคิตะ ที่เมื่อถึงช่วงฤดูใบไม้ร่วงทีไร ทั้งสองฝั่งข้างทางจะเต็มไปด้วยใบไม้เปลี่ยนสีจากสีแดงเป็นสีเหลืองสดใส ให้ความรู้สึกเสมือนภาพวาดเลยทีเดียว

นอกจากความสวยงามของฤดูใบไม้ผลิแล้ว ในช่วงฤดูหนาวนักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับแท่งน้ำแข็งที่งอกและไหลย้อยขนาดใหญ่ทอดยาวลงมาจากหุบเขา และสำหรับอีกจุดหนึ่งที่นักท่องเที่ยวพลาดไม่ได้เลยก็คือ “น้ำตก” นักท่องเที่ยวสามารถเดินลงไปตามทางประมาณ 200 เมตร อยู่ตรงช่องเขาตอนบนของแม่น้ำมินาเสะ (Minase River) ความลึกของช่องเขามากกว่า 50 เมตร แต่ความกว้างประมาณ 10 เมตร รวมถึงสะพานสีแดงด้านบน (Kawarayu Bridge) ก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่ได้รับความนิยมในการถ่ายภาพจากนักท่องเที่ยว

การเดินทาง:

  • โดยรถยนต์ จาก Yuzawa IC บนถนน Yuzawa-Yokote ผ่านทางหลวงหมายเลข 398 ใช้เวลาประมาณ 40 นาที มีบริการที่จอดรถฟรี
  • โดยรถบัส จากหน้าสถานี JR Yuzawa ขึ้นรถบัส Ugo Kotsu สาย Yuzawa-Oyasu ลงที่ Oyasu Onsen ใช้เวลาประมาณ 55 นาที
  • โดยรถไฟ สาย Ou Line ลงที่สถานี Yuzawa Line ต่อรถบัส Ugo Kotsu ด้านหน้าสถานีรถไฟไปลงที่หุบเขา ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
    ช่วงที่เหมาะสม: กลางเดือนตุลาคม – ต้นเดือนพฤศจิกายน (ช่วงใบไม้เปลี่ยนสี)

Sakura Farm Wakayama เก็บสตรอว์เบอร์รี่สดจากฟาร์มแบบออแกนิค

Sakura Farm Wakayama อีกหนึ่งประสบการณ์ของคนรักสตรอว์เบอร์รี่ ที่ต้องเดินทางมาลิ้มลองรสชาติสักครั้ง สำหรับที่จังหวัด วาคายามะ (Wakayama) ซากุระ ฟาร์ม (Sakura Farm) ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งฟาร์ม ที่มีชื่อเสียงทางด้านการปลูกสตรอว์เบอร์รี่สดๆ หลากหลายพันธุ์ แถมยังมีรสชาติที่หวาน สด กรอบ ไร้สารพิษ ทำให้นักท่องเที่ยวต่างแวะเวียนเดินทางเข้ามาที่ฟาร์มแห่งนี้ในแต่ละปีเป็นจำนวนมาก

Sakura Farm Wakayama (ซากุระ ฟาร์ม) ที่นี่คุณสามารถเก็บสตรอว์เบอร์รี่ทานแบบสดๆ ได้เลย เนื่องจากทางฟาร์มแห่งนี้มีการเพาะปลูกสตรอว์เบอร์รี่ด้วยวิธีแบบออแกนิค ทำให้นักท่องเที่ยวสบายใจได้ว่า “เมื่อเด็ดสตรอว์เบอร์รี่ปุ๊ป ก็สามารถนำเข้าปากได้ปั๊บ” ท่านสามารถเพลิดเพลินกับการเก็บและชิมรสชาติสตรอว์เบอร์รี่หลากหลายสายพันธุ์แบบไม่อั้น (ในเวลาจำกัด 30 นาที) แต่เก็บทานได้เฉพาะภายในฟาร์มเท่านั้น ไม่สามารถนำกลับไปได้นะคะ

สำหรับที่ Sakura Farm Wakayama แห่งนี้มีสตรอว์เบอร์รี่พันธุ์ท้องถิ่น ที่มีปลูกแค่ Wakayama ที่เดียวอยู่ 2 สายพันธุ์ คือ มาริฮิเมะ และคิโนะกะ สำหรับนักท่องเที่ยวคนไหนที่สนใจอยากแวะมาที่ฟาร์มแห่งนี้ ที่นี่เค้าเปิดให้บริการเก็บสตรอว์เบอร์รี่ประมาณกลางเดือนมกราคม-กลางเดือนพฤษภาคม ช่วงเวลา : 11:00-15:00 น.

อัตราค่าบริการ : เข้าสวนเก็บทานแบบไม่อั้น 30 นาที
ผู้ใหญ่ (นักเรียนมัธยมต้นขึ้นไป) 2,000 เยน
เด็ก (นักเรียนชั้นประถมศึกษา) 1,500 เยน
เด็กเล็ก (3 ปีขึ้นไป) 1,000 เยน
เด็กเล็ก (1 และ 2 ปี) 500 เยน
เด็กทารก (ต่ำกว่า 1 ปี) ฟรี

สำหรับข้อมูลการเดินทางมายัง Sakura Farm Wakayama
ทางรถไฟ : อยู่สถานี Kanroji-mae Station ก่อนถึงสถานีแมว Tama 1 สถานี (Kishi Station) และเดินจากสถานีไปประมาณ 10 นาที
ทางรถ : จาก Sennan IC ระยะทางประมาณ 20 กม. ใช้เวลาประมาณ 35 นาที /และจาก Wakayama IC ระยะทางประมาณ 13 กม. ใช้เวลาประมาณ 25 นาที
ที่จอดรถ : มีที่จอดรถบริการฟรี สามารถจอดได้ 12 คัน

การติดต่อ : มือถือ 090-3485-7518, FAX 0736-79-6655
ดูรายละเอียดเพิ่มเติม : http://www7.plala.or.jp/sakura_farm/index.html

นักเดินทางต้องรู้…ห้ามนำสิ่งนี้เข้าญี่ปุ่น

“ รู้ไหมว่า นอกจากอาวุธ ยาเสพติด และสิ่งที่ผิดกฎหมายแล้ว ญี่ปุ่นยังห้ามนำเข้าสิ่งที่เราคาดไม่ถึงด้วยนะ !! ”

สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งกางปีกบินไปต่างประเทศครั้งแรก คงมันมืออยากจะหยิบของทุกอย่างที่คิดว่าจำเป็นต้องใช้ยัดเข้ากระเป๋าเดินทาง โดยไม่ได้รู้สึกเอะใจว่าของทั้งหมดนั้นมันสามารถขนเข้าญี่ปุ่นได้จริง ๆ หรือเปล่า เพราะของบางอย่างก็สุดแสนจะธรรมดาจนมองไม่เห็นอันตรายอะไร แต่กลับกลายเป็นของต้องห้ามไปเสียได้ แม้แต่คนที่ช่ำชองในเรื่องการเดินทางก็อาจจะพลาดได้เหมือนกัน

ซึ่งมาตรการนี้ ทางสนามบินญี่ปุ่นได้ยกระดับความเข้มงวดขึ้นเพื่อป้องกันปัญหาที่จะตามมา…อย่างว่าล่ะ เขาเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องวินัยและความเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่แล้ว…เราเองก็ต้องศึกษาให้ดีไม่อย่างนั้นอาจจะมีโทษตามมาได้ ใครชอบแบบไหนก็เลือกเอา..แบบพอแค่เสียความรู้สึก คือโดนยึดของ หรือแบบเสียเงินจากการโดนปรับ หรือเสียแผนการทุกอย่างที่ทำมาเมื่อโดนจับ
……แล้วตกลงมันคืออะไรล่ะ ? ของที่ว่านี้

1. เนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์แปรรูปจากสัตว์ ,น้ำนมดิบ

หากใครคิดที่จะพกไส้กรอก ,กุนเชียง ,แหนม ,แฮม ,หมูยอ ,หมูหยอง ไปต้มกินรองท้องกับบะหมี่ที่โรมแรมเพื่อต้องการประหยัดเงินแล้วล่ะก็..ลืมไปได้เลย ! ยิ่งถ้าขนไปเยอะ ๆ เพื่อเป็นของฝาก ยิ่งสุ่มเสี่ยงต่อการโดนจับ เหตุที่ทางสนามบินญี่ปุ่นต้องตรวจเข้มงวดแบบนี้ก็เพราะป้องกันโรคที่อาจจะแพร่ได้ หากเราต้องการนำเข้าจริง ๆ ก็ต้องมีเอกสารรับรองการตรวจจากประเทศต้นทางเสียก่อน แม้แต่ในส่วนของคุณแม่ที่ปั๊มน้ำนมไว้ให้ลูก ก็ต้องมีสิ่งยืนยันได้เหมือนกัน

2. ผักและผลไม้บางชนิด

เป็นใครก็คงอดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมเราถึงนำผลไม้เข้าไปในประเทศญี่ปุ่นไม่ได้ จริง ๆ แล้วการจะนำผลไม้เข้าไปนั้นจะต้องมีใบรับรองที่ผ่านกระบวนการนำเข้าอย่างถูกกฏหมาย การที่เรานำเข้าไปเองโดยไม่มีใบรับรองนั้นถือว่ามีความผิด ซึ่งผักผลไม้ที่อยู่ในรายชื่อห้ามนำเข้า เช่น กล้วย ส้ม มะเขือเทศ พริกสด ฝรั่ง ลิ้นจี่ มังคุด แก้วมังกร มะม่วง… ***ยกเว้น ผัก ผลไม้ที่แปรรูปด้วยการหมักดอง ( ผักผลไม้ที่แช่อยู่ในแอลกอฮอล์ กรดอะซิติก นํ้าตาล และอื่นๆ ) ที่มีตราสินค้าและได้รับการรับรองมาตรฐาน มีบรรจุภัณฑ์แน่นหนา

3. ยาบางชนิด

ยาที่ห้ามนำเข้าญี่ปุ่น ได้แก่ ยาที่มีส่วนผสมของสารซูโดอีเฟดรีน หรือสารไดเฟนอกไซเลต หรือเป็นยาที่ทางการญี่ปุ่นไม่รับรองการพกพาเข้าไป ซึ่งที่ระบุไว้มี 11 ชนิด ด้วยกัน คือ TYLENOL COLD , NYQUIL , NYQUIL LIQUICAPS , ACTIFED , SUDAFED , ADVIL COLD & SINUS , DRISTAN COLD/ “NO DROWSINESS” , DRISTAN SINUS , DRIXORAL SINUS , VICKS INHALER และ LOMOTIL

นอกจากชนิดและส่วนผสมของยาแล้ว ปริมาณที่นำเข้าไปก็มีส่วนสำคัญเหมือนกัน หากมีจำนวนมากเกินความจำเป็นที่จะต้องใช้ อาจเกิดข้อสงสัยกับทางเจ้าหน้าที่ได้ ฉะนั้นจึงควรพกไปในปริมาณที่เหมาะสม ส่วนยารักษาโรคเฉพาะทางจะต้องมีเอกสารใบรับรองจากแพทย์ระบุรายละเอียดของยาเป็นภาษาอังกฤษอย่างชัดเจน

No drugs allowed. Drugs, marijuana leaf with forbidden sign – no drug. Drugs icon in prohibition red circle. Anti drugs. Just say no. Isolated vector illustration on white background.

4. แมลง

เป็นมาตรการป้องกันด้านสิ่งแวดล้อมและปัญหาที่จะเกิดกับเกษรกรญี่ปุ่น เนื่องจากแมลงที่นำเข้าอาจจะเกิดการเพิ่มจำนวน รวมถึงเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อโรคที่อาจจะสร้างความเสียหายต่อพืชผลทางการเกษตรได้ ฉะนั้นทางการญี่ปุ่นจึงมีคำสั่งห้ามนำเข้าหากยังไม่ได้รับการอนุญาติ

5. ดิน ,พืชที่มีดินติดอยู่ ,แกลบ และฟางข้าว

เป็นเหตุผลทางด้านการป้องเชื้อโรคและแมลงศัตรูพืชที่อาจติดมาด้วย ในที่นี้ยังรวมถึงนำเข้าในลักษณะอื่น ๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ เช่น เป็นส่วนหนึ่งของอุปกรณ์ เครื่องใช้ ต่าง ๆ…ดังนั้นเราควรระมัดระวังและตรวจสอบให้ดี

6. เงินสดที่มากเกินไป

มันน่าสงสัยเป็นอย่างมากว่าการนำเงินไปจับจ่ายใช้สอยเพิ่มรายได้ให้กับชาวญี่ปุ่นมันไม่ดีตรงใหน ? …คำตอบคือ ดี…จริง ๆ แล้วไม่ได้ผิดกฎหมายหรือมีข้อห้ามอะไรขนาดนั้น เพียงแต่ว่าการพกเงินสดติดตัวเยาะจนเกินไป ในที่นี้คือมากถึง 100 เยน (รวมถึงทองคำ ทองรูปพรรณที่มีน้ำหนัก 1 กก.ด้วย ) มันสุ่มเสี่ยงว่าเราอาจนำเงินเข้าไปทำสิ่งที่ผิดกฎหมายหรือเกี่นวกับการฟอกเงินได้ ซึ่งจะทำให้เราต้องเสียเวลาตอบคำถามและแจกแจงรายละเอียดการนำเงินไปใช้ให้เจ้าหน้าที่ฟัง

…ดังนั้นควรเตรียมเงินไปใช้อย่างเหมาะสมเท่าที่จำเป็น หรือหากคิดว่ามีรายการใช้เงินจำนวนมาก แนะนำให้พกบัตรเครดิต หรือ Travel card จะสะดวกกว่า

7. สิ่งของที่ไม่มีใบอนุญาติในการนำเข้า

มีของบางอย่างที่ญี่ปุ่นกำหนดเป็นกรณีพิเศษว่า หากจะนำเข้าประเทศต้องมีใบอนุญาติก่อน ได้แก่ ของจำพวกผลไม้ เช่น ทุเรียน สับปะรด จำพวกผักแห้ง เช่น พริกแห้ง ถั่ว รวมถึงเมล็ดพันธ์ต่าง ๆ

8. สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์

ใครที่รักการแต่งตัวด้วยสินค้าแบรนด์เนม ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า แล้วล่ะก็ ต้องทำใจล่วงหน้าไว้เลยว่ายังไงก็ต้องถูกตรวจสอบแน่นอน เพราะญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องความเข้มงวดเกี่ยวกับสินค้าลิขสิทธิ์อยู่แล้ว ใครคิดที่จะเข้าไปเฉิดฉายกลางกรุงโตเกียวด้วยของแบรนดเนมที่เป็นของปลอมอาจจะต้องถูกยึดและถูกดำเนินคดีได้….ในที่นี้ยังรวมถึงของใช้ที่เป็นรูปตัวการ์ตูนที่มีลิขสิทธิ์ด้วย
…ถึงแม้สินค้าลิขสิทธิ์จะตรวจสอบยาก บางคนอาจโชคดีที่ผ่านด่านเจ้าหน้ามาได้ แต่ยังไงเราก็ควรป้องกันไว้ก่อนจะดีกว่า

9. หนังสือ หนังดีวีดี และสื่อ แนว 18+ ที่เกี่ยวกับเด็ก

หนังสือ หนังดีวีดี และสื่อ ต่าง ๆ ที่มีเนื้อหาเน้นความรุนแรง ,ส่อไปในทางลามก โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับเด็กและเยาวชนจะถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวด

..สุดท้าย..…..อย่างที่เรา ๆ รู้กันว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เคร่งครัดเรื่องกฎระเบียบมาก อะไรที่เขาห้ามเราก็ควรหลีกเลี่ยง จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลา เสียความรู้สึก หนักขึ้นมาอีกหน่อยก็คือเสียเงิน แล้วยังอาจจะต้องถูกดำเนินคดีอีกด้วย ถ้าไม่อยากให้การไปเที่ยวของเราต้องหมดอรรถรสก็ระมัดระวังกันด้วยนะครับ

เอาตัวรอดยังไงเมื่อ “ พาสปอร์ตหาย ” ที่ญี่ปุ่น

อะไรนะ…พาสปอร์ตหาย ! มาเที่ยวญี่ปุ่นทั้งทีก็หวังว่าจะมีแต่ประสบการณ์สนุก เร้าใจ แต่ใครจะไปคิดว่าจะเร้าใจได้ขนาดนี้ อุตส่าห์วางแผนมาแรมปี แล้วอย่างนี้จะต้องรีบ…แพ็คกระเป๋ากลับบ้านเลยไหม ?…อยู่ต่อได้ไหม ?…จะโดนกักตัวไหม ?…จะต้องติดคุกไหม ?…….อย่าครับ อย่าเพิ่งตกใจ หากหนังสือเดินทางหรือพาสปอร์ตหาย มีทางออกแน่นอนครับ มาดูกันครับว่าเราควรรับมือกับสถานการณ์นี้ยังไงดี…

เอ๊ะ ! หายจริง ๆ เหรอ ?

เป็นเรื่องปกติถ้าหากเราหาของไม่เจอก็คงต้องรู้สึกกังวลและคิดว่ามันหายไปแล้วแน่ ๆ ก่อนอื่นเราต้องตั้งสติแล้วลองหาอีกครั้ง ทั้งในกระเป๋าเสื้อผ้า กระเป๋าสะพาย กระเป๋าเดินทาง ลิ้นชักโต๊ะ กองเสื้อผ้าในห้องพัก หรือสถานที่ที่เราเพิ่งไป พยายามนึกให้ได้ว่าที่สุดท้ายที่เราถือพาสปอร์ตคือที่ไหน บางทีมันอาจจะตกหล่นอยู่ใกล้ ๆ ตัวเราก็ได้


ตรงปรี่เข้าไปขอความช่วยเหลือ

ติดต่อผู้ดูแลหรือประชาสัมพันธ์ของสถานที่ที่เราคิดว่าทำหนังสือเดินทางหาย เช่น ตลาด ห้างสรรพสินค้า แผนก Lost and Found ของสถานีรถไฟ โดยให้เบอร์โทรติดต่อของโรงแรมที่เราพักอยู่ไว้ บางทีวิธีนี้อาจจะทำให้เราได้พาสปอร์ตกลับคืนมาไวกว่าที่คิดก็ได้

Lost and Found sign at the Airport

ตำรวจญี่ปุ่นใจดี พึ่งพาได้

เมื่อเรากระหืดกระหอบกับการหาพาสปอร์ต จนมั่นใจว่ายังไง ๆ ก็ไม่มีวันหาเจอได้เองแน่ ๆ ให้เดินทางไปสถานีตำรวจเลยครับ แล้วเข้าไปแจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่าหนังสือเดินทางหาย เขาจะให้เรากรอกใบรับแจ้งความที่มีชือเรียกว่า ” เคซัสซึโชเม ” เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการทำพาสปอร์ตชั่วคราว… ***กรณีที่เราไปแจ้งกับเจ้าหน้าที่ที่ป้อมตำรวจ เอกสารใบรับแจ้งไม่สามารถนำไปยื่นเรื่องทำพาสปอร์ตชั่วคราวได้นะครับ ทำได้เพียงให้เบอร์ติดต่อไว้เผื่อมีคนเก็บได้แล้วนำมาให้คืน

ทางออกสุดท้าย…ทำหนังสือเดินทางชั่วคราว

เมื่อจนปัญญา ทำยังไงก็หาไม่เจอ เราสามารถไปยื่นเรื่องเพื่อขอทำหนังสือเดินทางชั่วคราวได้ครับ สำหรับญี่ปุ่นมี 2 ที่ให้เลือก คือสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงโตเกียว และสถานกงสุลใหญ่ ณ นครโอซาก้า แต่ก่อนที่เราจะไปยื่นเรื่อง ต้องรู้ก่อนนะครับว่าทั้งสถานเอกอัครทูตไทยและสถานกงสุลใหญ่ เปิดทำการเฉพาะวันจันทร์ถึงศุกร์ หยุด วันเสาร์และอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 9:00-12:00 น. และ 13:30-15:00 น. ไม่อย่างนั้นจะไปเสียเที่ยวนะ

เอกสารที่ต้องใช้สำหรับยื่นเรื่อง มีอะไรบ้าง ?

1. ใบแจ้งความ (เคซัสซึโชเม) ที่ออกให้โดยสถานีตำรวจในท้องที่

2. สำเนาเอกสารแสดงตัวบุคคลของไทย เช่น สำเนาหนังสือเดินทาง สำเนาบัตรประชาชนไทย สำเนาทะเบียนบ้านไทย *** เอามาจากไหน ? แน่นอนครับว่าเราควรเตรียมเอกสารที่ราชการออกให้สำรองเก็บไว้ทุกครั้งก่อนเดินทางไปต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบเอกสารหรือสแกนไฟล์เก็บไว้ เช่น Flash Drive , SD Card หรือเก็บไว้ใน Could ส่วนตัวที่สามารถเปิดจาก Internet ได้ทั่วโลก

3. รูปถ่ายสี ขนาด 4×4 ซ.ม. จำนวน 3 รูป หน้าตรง ไม่ใส่แว่นกันแดดและหมวก ซึ่งเราสามารถถ่ายได้ตามตู้ถ่ายรูปที่อยู่บริเวณสถานีรถไฟทั่วไป หรือบริเวณใกล้ๆ โซนตู้กดสินค้า หรือในร้านสะดวกซื้อ ที่สำคัญคือต้องเห็นใบหน้าชัดเจน

ที่ตั้ง….

1. สถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงโตเกียว (Royal Thai Embassy ,Tokyo)
ที่ตั้ง 3-14-6 Kami-Osaki, Shinagawa-ku, Tokyo 141-0021…อยู่ใกล้สถานีรถไฟเมกุโระ ประมาณ 170 เมตร

2. สถานกงสุลใหญ่ ณ นครโอซาก้า (Royal Thai Consulate-General)
ที่ตั้ง Bangkok Bank Building-4th floor, 1-9-16 Kyutaro-machi, Chuo-ku, Osaka 541-0056… อยู่ใกล้สถานีซาไคสุจิ-ฮมมาจิ ประมาณ 100 เมตร

เปลี่ยนได้ทันใจเมื่อต้องใช้แผนสำรอง

เมื่อเราทำหนังสือเดินทางหาย สิ่งที่ตามมานั่นก็คือ เราต้องลดเวลาในการเที่ยวลง หรือไม่ก็ต้องขยายเวลาออกไป เพราะในการทำพาสปอร์ตชั่วคราวต้องใช้เวลาในการดำเนินเรื่อง ยิ่งถ้าหายในวันเสาร์ อาทิตย์ด้วยแล้ว กว่าจะยื่นเรื่องได้ ก็ต้องรอวันจันทร์ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราต้องคิดวางแผนต่อก็คือ
• รีบจองที่พัก หากต้องยืดเวลาอยู่ต่อออกไป
• รีบโทรจองหรือเปลี่ยนเที่ยวบิน
• ควรเตรียมเงินสำรองไว้มากกว่าที่ต้องใช้จริง
• วางแผนกิจกรรมใหม่

เห็นไหมครับว่าต่อให้พาสปอร์ตเราจะหายจริง ๆ แต่มันก็จะมีวิธีการที่สามารถแก้ไขปัญหาได้ สิ่งที่สำคัญคือ เราจะต้องมีสติ รอบรู้ และวางแผน เราจึงจะเที่ยวได้อย่างสบายใจ…ไม่ต้องรีบเก็บกระเป๋ากลับบ้าน ไม่ต้องกลัวโดนกักตัว ไม่ติดคุกแน่นอนครับ.. แต่ถึงยังไงพาสปอร์ตฉบับจริงก็ยังมีความสำคัญมาก ๆ อยู่ นะครับอย่าละเลยในการเก็บรักษาล่ะ

Okayama (โอคายาม่า) ไม่ไปไม่ได้แล้ว 2 วัน 1 คืน

ใครๆ ที่มีทริปจะไปเที่ยวญี่ปุ่นแต่ยังไม่มีแพลนว่าจะไปเมืองอะไร เรามีแพลนมาเสนอนั้นก็คือเมืองโอคายาม่า (Okayama) จังหวัดที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคชูโกกุ (Chugoku) เมืองนี้อยู่ไม่ไกลจากโอซาก้า หรือฮิโรชิมา(Hiroshima) เดินทางสะดวกสามารถนั่งรถไฟชินคันเซน(shinkansen) ตรงมาจากโอซาก้าหรือฮิโรชิม่าก็ได้ค่ะ การเดินทางภายในตัวเมืองจะเดินทางด้วยรถรางโบราณ Okaden ที่มีอายุเก่าแก่กว่า 100 ปี แต่ปัจจุบันได้รับปรับปรุงใหม่อยู่ในสภาพที่ดีและใช้การได้ด้วยระบบที่ทันสมัย มีให้บริการด้วยกัน 2 สาย คือ สาย Higashiyama Line และสาย Sekibashi ค่ะ สำหรับการเดินทางมาจากเมืองๆ เพื่อเดินทางมาสามารถใช้เป็น Jr Pass nationwide ,Jr west kansai wide pass 5 วัน, Jr west kansai Hiroshima pass 5 วัน เป็นต้น

เริ่มต้นด้วยการ นั่งรถไฟชินคันเซน จากโอซาก้าใช้เวลาประมาณ 50 นาที ก็จะมาถึงโอคายาม่า มาถึงที่แรกที่เป็นเที่ยวก็เป็นแลนด์มาร์คก่อนเลยจากสถานี Jr Okayama ก็เดินมาตามถนน Momotaro-Odori จนสุดถนนใช้เวลาประมาณ 20 นาทีก็จะเจอกับทางลอดใต้ดิน เพื่อเดินต่อไปยัง ปราสาทโอคายาม่า(Okayama Castle) หรือที่นิยมเรียกกันว่า “ยูโจ” ที่แปลว่าปราสาทอีกาดำ(U-jo castle) เพราะว่าตัวปราสาทมีสีดำ

ปราสาทมีทั้งหมด 5 ชั้น ภายในจะตกแต่งสไตล์โมเดิร์น มีหอสังเกตการชื่อซึคิมิ ยากามูระ(Tsukimi Yagamura) สามารถขึ้นไปชมวิวสวยๆ ของเมืองหรือวิวมุมสูงของสวนโอคายาม่าได้เลย แล้วตอนนี้ตัวปราสาทเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้เข้าชมและได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ต่างๆ ภายในมีการแสดงภาพจำลองของปราสาทและข้าวของเครื่องใช้ของบรรดาเจ้านายในสมัยโบราณ นอกจากนั้นยังสามารถแต่งตัวเป็นเจ้าเมืองหรือเจ้าหญิง (ฟรีด้วยนะจ้า) หรือจะลองสัมผัสวิถีนักรบ นั่งเกี้ยวไดเมียว (พาหนะแบบญี่ปุ่นโบราณ) และถ่ายรูปเป็นที่ระลึกได้อีกด้วย ช่วงเวลาเปิดบริการ 09.00 น. – 17.30 น.

การเดินทาง จากสถานี JR Okayama นั่งลงบัสมาลงที่ป้าย Kenchomae ประมาณ 10 นาทีและเดินต่ออีกประมาณ 5 นาที หรือนั่งรถรางจากสถานี JR Okayama มาลงที่ป้าย Shiroshita และเดินประมาณ 10 นาที

เดินชมปราสาทเสร็จแล้วเดินออกมาทางข้างหน้าข้าม แม่น้ำอะซะฮิ(Takahashi) ไปอีกฟากก็จะเข้ามาใน สวนโคราคุเอน(Korakuen Garden) เป็นสวนที่ติดอันดับ 1ใน 3 จาก “มิชลินกรีนไกด์” เลยนะพวกเธอ(สวนนี้มีความสวยแบบไม่ได้มาเล่นๆ)

สวนนี้จัดวางผังมาตามสไตล์ญี่ปุ่นโดยแท้เลย ภายในมีเวทีละครโน, บ่อน้ำ, เนินเขา, ทิวต้นบ๊วย และไร่ชา แถมยังมีสนามหญ้าขนาดใหญ่โล่งๆ ที่ไม่ค่อยมีในสวนต่างๆ ในประเทศญี่ปุ่น ถือว่าเป็นลักษณะเด่นของสวนนี้ ยังไม่หมดแค่นี้ยังมีนาข้าว มีกรงนกนกกระสาขนาดใหญ่มาคอยอวดโฉม และสวนนี้ยังมีเหล่าไม้งามให้ชื่นชมทุกฤดูกาลไม่ว่าจะเป็น ซากุระ อาซาเลีย ไอริส และดอกบัว ในช่วงซากุระบาน สามารถนำอาหารและเครื่องดื่มมาปิกนิกนั่งชมซากุระและมองเห็นวิวปราสาทโอคายาม่า แล้วในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีก็สวยงามไม่แพ้กัน สามารถนั่งจิบชามัทฉำแพร้อมกับดูใบไม้เปลี่ยนสีที่สลับสับเปลี่ยนกันที่ร้านน้ำชาซึ่งอยู่ภายในสวนแห่งนี้ได้อีกด้วยจ้า

เวลาเปิดบริการ 07.00-18.00น. ของทุกวัน การเดินทางจากสถานี JR Okayama นั่งรถบัสไปลงที่ป้าย Korakuenmae หรือจากสถานี JR Okayama นั่งรถรางไปลงที่ป้าย Shiroshita และเดินอีกประมาณ 10 นาที

จากที่เดินเล่นในสวนใช้เวลาเดินเล่นอยู่ประมาณเกือบ 3 ชั่วโมง แต่สิ่งที่ไม่ลืมก็คือแวะซื้อของฝากและหาของกินรองท้องกันที่หน้าทางเข้าสวนค่ะ อิ่มกันแล้วก็ไปเที่ยวกันต่อที่ศาลเจ้าคิบิสึ(Kibitsu Shrine) เป็นศาลเจ้าเก่าแก่ของเมืองโอคายาม่า

สร้างเพื่อบูชา คิบิสึฮิโกะ โนะ มิโกโตะ (Kibitsuhiko-no-Mikoto) เจ้าชายในตำนาน ของเทพนิยายเรื่องดังอย่างโมโมทาโร่(Momotaro) ศาลเจ้านี้นิยมมากราบไหว้สักการะขอเรื่องความรักและการขอพรให้ชีวิตคู่ราบรื่น และก็อย่าลืมซื้อเครื่องรางลูกพีช (Nozoki Momo Mamori) ที่จะช่วยให้รักสมหวังกลับไปเป็นของที่ระลึกกันนะคะ

เวลาเปิดบริการ 6:00น.-18:00น. สถานที่จำหน่ายเครื่องรางเปิดบริการเวลา 8:30น.-17:00น. การเดินทางจากสถานี JR Okayama ลงที่สถานี JR Kibitsu แล้วเดินต่อประมาณ 10 นาที

จากที่ขอพรการแล้วก็ไปหาของอร่อยทานที่ Aeon Mall ที่เต็มไปด้วยร้านค้าและร้านอาหารให้ได้เลือกก่อนที่จะหมดแรงกลับที่พักเตรียมเที่ยวต่อในวันรุ่งขึ้นค่ะ

วันที่สองวันนี้ไปเที่ยวย่านเมืองเก่ากันที่ คุระชิกิ (Kurashiki) เป็นเมืองที่ผสมผสานกันระหว่างแบบตะวันตกกับแบบญี่ปุ่น นับเป็นย่านทางการค้าและการคมนาคมในอดีตแห่งหนึ่งในสมัยเอโดะ แต่ปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยนเป็นแหล่งท่องเที่ยวโบราณที่มีอาคารบ้านเรือนสไตล์ดั้งเดิม ที่สร้างขึ้นจากดินเหนียว และปูกระเบื้องหลังคาสีดำ คล้าย ๆ กัน ตลอดสองข้างทางค่ะ

ตื่นเช้ามานั่งรถไฟจาก สถานี JR Okayama ไปลงที่ลงที่ สถานี KURASHIKI โดยใช้เวลาประมาณ 15 นาที ก็จะมาถึง Mitsui Outlet Park ซึ่งเป็นห้างดังของเมืองคุระชิกิ ทางเข้าห้างจะเชื่อมกับทางออกของสถานี JR KURASHIKI ก็สามารถเดินเข้าไปช็อปปิ้งและห้างของกินก่อนจะไปเดินเที่ยวค่ะ

จากนั้นก็เดินทางไปตามป้ายเพื่อไปที่ ย่านประวัติศาสตร์ (Kurashiki Bikan Historical Quarter) ใช้เวลาเดินประมาณ 10-15 นาที ก็จะเจอกับอาคารบ้านเรือนโบราณ ที่เป็นที่พัก ร้านค้าที่ขายของที่ระลึกและร้านอาหารเต็มสองงข้างทาง

เมื่อเดินไปเรื่อยจะเจอ คลองคุระชิกิ (Kurashiki Canal) ที่เป็นไฮไลท์เด่นของที่นี่ สามารถล่องเรือพายชมวิวอาคารบ้านเรือนได้ชิลๆ

ตั้งแต่เวลา 9.30 น. – 17.00 น. โดยรอบละประมาณ 20 – 30 นาที ที่สำคัญในฤดูใบไม้ผลิ ช่วงที่ซากุระเบ่งบาน (ประมาณปลายเดือนมีนาคมเมืองนี้ จะกลายเป็นหนึ่งในจุดชมวิวซากุระที่สวยงาม เวลาเปิดบริการ ร้านค้าส่วนใหญ่จะเปิดเวลา 8.00 น. เป็นต้นไป นอกจากนี้ยังสามารถเดินเที่ยวสถานที่อื่นๆ ได้แก่ Ohara Family House และ Kurashiki IVY Square ซึ่งเป็นอาคารโบราณ มี พิพิธภัณฑ์ Ohara Museum of art, Japan Folk Toy&Doll Museum และ Yumiko Igarashi Museum อีกด้วยค่ะ และสุดท้ายก่อนกลับต้องห้ามพลาด คือ พิพิธภัณฑ์โมโมทาโร่ (Momotaro Karakuri Hakubutsukan Museum) ถ้าไม่มาก็จะถือว่ามาไม่ถึงเมืองโอคายาม่านะคะ

ตัวอาคารของพิพิธภัณฑ์เป็นอาคารเก่าที่ได้รับการดูแลอย่างดี ภายในมีประวัติของโมโมทาโร่ที่ตัวละครสำคัญในนิทานพื้นบ้านของญี่ปุ่นที่มีต้นกำเนิดที่เมืองโอคายาม่า มีร้านขายของที่ระลึก และมีทางเดินที่ออกแบบให้คล้ายบ้านผี

แล้วยังมีมุมถ่ายรูปเก๋ๆ มากมาย หนึ่งในมุมถ่ายรูปที่ได้รับความนิยมที่สุดคือมุมลูกพีชของโมโมทาโร่ ที่ทุกคนที่มาจะต้องมาต่อแถวยืนถ่ายรูปกันค่ะ

เวลาเปิดบริการ 10:00น. -17:00น. การเดินทางจากสถานี Jr Okayama นั่งรถไฟลงสถานี Kurashiki แล้วเดินต่อมาประมาณ 15 นาที

จากนั้นก็เดินทางกลับไปที่พักหรือไปเที่ยวจังหวัดอื่นๆ ของญี่ปุ่นได้ค่ะ แต่สำหรับใครที่มีเวลา 1วัน หรือ 2วัน แล้วอยากได้รับพลังงานบวกก็สามารถแวะมาเที่ยวที่เมืองโบราณอันแสนสงบเงียบอย่าง คุระชิกิ (Kurashiki) เที่ยวสวนสวยๆ และสถานที่ต่างๆ ของจังหวัดโอคายาม่าได้นะคะ

เพื่อนๆ สามารถสอบถามราคาพาสต่างๆ ได้ที่ บริษัท เจแปน ออล พาส จำกัด ( Japan All Pass Co.,Ltd. ) ☎ โทร. 02-514-7473 (วันจันทร์-เสาร์ เวลา 09.00-18.00 น.) สายด่วน 08-2828-9933 / 08-2828-9944 / 08-2828-9393 / 08-2828-9494 / 08-2828-9988

ID LINE : @japanallpass
หรือช่องทาง Inbox >>
สำหรับโทรศัพท์มือถือ คลิก m.me/japanallpass
สำหรับ Computer PC คลิก https://goo.gl/QhNgSN
หรือ [email protected]