Oyasu Hot Springs Akita จุดชมใบไม้เปลี่ยนสีและบ่อน้ำพุร้อนอายุกว่าพันปี

Oyasu Hot Springs Akita ถือเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีและมีบ่อน้ำพุร้อนอายุกว่าพันปี ตั้งอยู่ในหุบเขาลึกที่เมืองยูซาวะ (Yuzawa) เมืองทางตอนใต้สุดจังหวัดอาคิตะ (Akita) ประเทศญี่ปุ่น (Japan) ที่ “หุบเขาโอยาสุ” แห่งนี้เกิดจากการกัดเซาะของแม่น้ำมินาเสะที่ไหลผ่านหุบเขาเป็นรูปตัววี ระยะเวลายาวนานหลายพันปี ในส่วนของ Oyasu Onsen กล่าวกันว่า เป็นออนเซ็นอันเก่าแก่ที่ได้รับการก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่สมัยเอโดะตอนต้น มีน้ำพุร้อนทางธรรมชาติ ที่ร้อนถึง 98 องศา ด้วยความร้อนของน้ำพุแห่งนี้ ทำให้เกิดไอน้ำพุ่งลอยอยู่เหนือพื้นผิวจากรอยแยกของพื้นดินเบื้องล่าง ทำให้เกิดภาพบรรยากาศที่น่าอัศจรรย์และสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก

หุบเขาโอยาสุ (Oyasu Valley) เป็นแหล่งน้ำพุร้อนทางธรรมชาติที่ไม่ค่อยได้รับการพูดถึงสักเท่าไหร่ แต่เป็นที่รู้จักในหมู่ของคนท้องถิ่นมากกว่า ที่ Oyasu Hot Springs Akita มีเส้นทางเดินลงสู่หุบเขาที่ยาวประมาณ 60 เมตร นอกจากนี้ ที่นี่มีบริการออนเซ็นและบ่อแช่เท้าสาธารณะอยู่หลายแห่ง พื้นที่โดยรอบของแถบนี้ มีการเกิดรอยแตกจากความร้อนที่สะสมในชั้นใต้ดิน ทำให้เกิดลักษณะรูปแบบที่แปลกตา และที่นี่ถือได้ว่าเป็นสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีชื่อดังของอาคิตะ ที่เมื่อถึงช่วงฤดูใบไม้ร่วงทีไร ทั้งสองฝั่งข้างทางจะเต็มไปด้วยใบไม้เปลี่ยนสีจากสีแดงเป็นสีเหลืองสดใส ให้ความรู้สึกเสมือนภาพวาดเลยทีเดียว

นอกจากความสวยงามของฤดูใบไม้ผลิแล้ว ในช่วงฤดูหนาวนักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับแท่งน้ำแข็งที่งอกและไหลย้อยขนาดใหญ่ทอดยาวลงมาจากหุบเขา และสำหรับอีกจุดหนึ่งที่นักท่องเที่ยวพลาดไม่ได้เลยก็คือ “น้ำตก” นักท่องเที่ยวสามารถเดินลงไปตามทางประมาณ 200 เมตร อยู่ตรงช่องเขาตอนบนของแม่น้ำมินาเสะ (Minase River) ความลึกของช่องเขามากกว่า 50 เมตร แต่ความกว้างประมาณ 10 เมตร รวมถึงสะพานสีแดงด้านบน (Kawarayu Bridge) ก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่ได้รับความนิยมในการถ่ายภาพจากนักท่องเที่ยว

การเดินทาง:

  • โดยรถยนต์ จาก Yuzawa IC บนถนน Yuzawa-Yokote ผ่านทางหลวงหมายเลข 398 ใช้เวลาประมาณ 40 นาที มีบริการที่จอดรถฟรี
  • โดยรถบัส จากหน้าสถานี JR Yuzawa ขึ้นรถบัส Ugo Kotsu สาย Yuzawa-Oyasu ลงที่ Oyasu Onsen ใช้เวลาประมาณ 55 นาที
  • โดยรถไฟ สาย Ou Line ลงที่สถานี Yuzawa Line ต่อรถบัส Ugo Kotsu ด้านหน้าสถานีรถไฟไปลงที่หุบเขา ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
    ช่วงที่เหมาะสม: กลางเดือนตุลาคม – ต้นเดือนพฤศจิกายน (ช่วงใบไม้เปลี่ยนสี)

Sakura Farm Wakayama เก็บสตรอว์เบอร์รี่สดจากฟาร์มแบบออแกนิค

Sakura Farm Wakayama อีกหนึ่งประสบการณ์ของคนรักสตรอว์เบอร์รี่ ที่ต้องเดินทางมาลิ้มลองรสชาติสักครั้ง สำหรับที่จังหวัด วาคายามะ (Wakayama) ซากุระ ฟาร์ม (Sakura Farm) ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งฟาร์ม ที่มีชื่อเสียงทางด้านการปลูกสตรอว์เบอร์รี่สดๆ หลากหลายพันธุ์ แถมยังมีรสชาติที่หวาน สด กรอบ ไร้สารพิษ ทำให้นักท่องเที่ยวต่างแวะเวียนเดินทางเข้ามาที่ฟาร์มแห่งนี้ในแต่ละปีเป็นจำนวนมาก

Sakura Farm Wakayama (ซากุระ ฟาร์ม) ที่นี่คุณสามารถเก็บสตรอว์เบอร์รี่ทานแบบสดๆ ได้เลย เนื่องจากทางฟาร์มแห่งนี้มีการเพาะปลูกสตรอว์เบอร์รี่ด้วยวิธีแบบออแกนิค ทำให้นักท่องเที่ยวสบายใจได้ว่า “เมื่อเด็ดสตรอว์เบอร์รี่ปุ๊ป ก็สามารถนำเข้าปากได้ปั๊บ” ท่านสามารถเพลิดเพลินกับการเก็บและชิมรสชาติสตรอว์เบอร์รี่หลากหลายสายพันธุ์แบบไม่อั้น (ในเวลาจำกัด 30 นาที) แต่เก็บทานได้เฉพาะภายในฟาร์มเท่านั้น ไม่สามารถนำกลับไปได้นะคะ

สำหรับที่ Sakura Farm Wakayama แห่งนี้มีสตรอว์เบอร์รี่พันธุ์ท้องถิ่น ที่มีปลูกแค่ Wakayama ที่เดียวอยู่ 2 สายพันธุ์ คือ มาริฮิเมะ และคิโนะกะ สำหรับนักท่องเที่ยวคนไหนที่สนใจอยากแวะมาที่ฟาร์มแห่งนี้ ที่นี่เค้าเปิดให้บริการเก็บสตรอว์เบอร์รี่ประมาณกลางเดือนมกราคม-กลางเดือนพฤษภาคม ช่วงเวลา : 11:00-15:00 น.

อัตราค่าบริการ : เข้าสวนเก็บทานแบบไม่อั้น 30 นาที
ผู้ใหญ่ (นักเรียนมัธยมต้นขึ้นไป) 2,000 เยน
เด็ก (นักเรียนชั้นประถมศึกษา) 1,500 เยน
เด็กเล็ก (3 ปีขึ้นไป) 1,000 เยน
เด็กเล็ก (1 และ 2 ปี) 500 เยน
เด็กทารก (ต่ำกว่า 1 ปี) ฟรี

สำหรับข้อมูลการเดินทางมายัง Sakura Farm Wakayama
ทางรถไฟ : อยู่สถานี Kanroji-mae Station ก่อนถึงสถานีแมว Tama 1 สถานี (Kishi Station) และเดินจากสถานีไปประมาณ 10 นาที
ทางรถ : จาก Sennan IC ระยะทางประมาณ 20 กม. ใช้เวลาประมาณ 35 นาที /และจาก Wakayama IC ระยะทางประมาณ 13 กม. ใช้เวลาประมาณ 25 นาที
ที่จอดรถ : มีที่จอดรถบริการฟรี สามารถจอดได้ 12 คัน

การติดต่อ : มือถือ 090-3485-7518, FAX 0736-79-6655
ดูรายละเอียดเพิ่มเติม : http://www7.plala.or.jp/sakura_farm/index.html

นักเดินทางต้องรู้…ห้ามนำสิ่งนี้เข้าญี่ปุ่น

“ รู้ไหมว่า นอกจากอาวุธ ยาเสพติด และสิ่งที่ผิดกฎหมายแล้ว ญี่ปุ่นยังห้ามนำเข้าสิ่งที่เราคาดไม่ถึงด้วยนะ !! ”

สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งกางปีกบินไปต่างประเทศครั้งแรก คงมันมืออยากจะหยิบของทุกอย่างที่คิดว่าจำเป็นต้องใช้ยัดเข้ากระเป๋าเดินทาง โดยไม่ได้รู้สึกเอะใจว่าของทั้งหมดนั้นมันสามารถขนเข้าญี่ปุ่นได้จริง ๆ หรือเปล่า เพราะของบางอย่างก็สุดแสนจะธรรมดาจนมองไม่เห็นอันตรายอะไร แต่กลับกลายเป็นของต้องห้ามไปเสียได้ แม้แต่คนที่ช่ำชองในเรื่องการเดินทางก็อาจจะพลาดได้เหมือนกัน

ซึ่งมาตรการนี้ ทางสนามบินญี่ปุ่นได้ยกระดับความเข้มงวดขึ้นเพื่อป้องกันปัญหาที่จะตามมา…อย่างว่าล่ะ เขาเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องวินัยและความเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่แล้ว…เราเองก็ต้องศึกษาให้ดีไม่อย่างนั้นอาจจะมีโทษตามมาได้ ใครชอบแบบไหนก็เลือกเอา..แบบพอแค่เสียความรู้สึก คือโดนยึดของ หรือแบบเสียเงินจากการโดนปรับ หรือเสียแผนการทุกอย่างที่ทำมาเมื่อโดนจับ
……แล้วตกลงมันคืออะไรล่ะ ? ของที่ว่านี้

1. เนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์แปรรูปจากสัตว์ ,น้ำนมดิบ

หากใครคิดที่จะพกไส้กรอก ,กุนเชียง ,แหนม ,แฮม ,หมูยอ ,หมูหยอง ไปต้มกินรองท้องกับบะหมี่ที่โรมแรมเพื่อต้องการประหยัดเงินแล้วล่ะก็..ลืมไปได้เลย ! ยิ่งถ้าขนไปเยอะ ๆ เพื่อเป็นของฝาก ยิ่งสุ่มเสี่ยงต่อการโดนจับ เหตุที่ทางสนามบินญี่ปุ่นต้องตรวจเข้มงวดแบบนี้ก็เพราะป้องกันโรคที่อาจจะแพร่ได้ หากเราต้องการนำเข้าจริง ๆ ก็ต้องมีเอกสารรับรองการตรวจจากประเทศต้นทางเสียก่อน แม้แต่ในส่วนของคุณแม่ที่ปั๊มน้ำนมไว้ให้ลูก ก็ต้องมีสิ่งยืนยันได้เหมือนกัน

2. ผักและผลไม้บางชนิด

เป็นใครก็คงอดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมเราถึงนำผลไม้เข้าไปในประเทศญี่ปุ่นไม่ได้ จริง ๆ แล้วการจะนำผลไม้เข้าไปนั้นจะต้องมีใบรับรองที่ผ่านกระบวนการนำเข้าอย่างถูกกฏหมาย การที่เรานำเข้าไปเองโดยไม่มีใบรับรองนั้นถือว่ามีความผิด ซึ่งผักผลไม้ที่อยู่ในรายชื่อห้ามนำเข้า เช่น กล้วย ส้ม มะเขือเทศ พริกสด ฝรั่ง ลิ้นจี่ มังคุด แก้วมังกร มะม่วง… ***ยกเว้น ผัก ผลไม้ที่แปรรูปด้วยการหมักดอง ( ผักผลไม้ที่แช่อยู่ในแอลกอฮอล์ กรดอะซิติก นํ้าตาล และอื่นๆ ) ที่มีตราสินค้าและได้รับการรับรองมาตรฐาน มีบรรจุภัณฑ์แน่นหนา

3. ยาบางชนิด

ยาที่ห้ามนำเข้าญี่ปุ่น ได้แก่ ยาที่มีส่วนผสมของสารซูโดอีเฟดรีน หรือสารไดเฟนอกไซเลต หรือเป็นยาที่ทางการญี่ปุ่นไม่รับรองการพกพาเข้าไป ซึ่งที่ระบุไว้มี 11 ชนิด ด้วยกัน คือ TYLENOL COLD , NYQUIL , NYQUIL LIQUICAPS , ACTIFED , SUDAFED , ADVIL COLD & SINUS , DRISTAN COLD/ “NO DROWSINESS” , DRISTAN SINUS , DRIXORAL SINUS , VICKS INHALER และ LOMOTIL

นอกจากชนิดและส่วนผสมของยาแล้ว ปริมาณที่นำเข้าไปก็มีส่วนสำคัญเหมือนกัน หากมีจำนวนมากเกินความจำเป็นที่จะต้องใช้ อาจเกิดข้อสงสัยกับทางเจ้าหน้าที่ได้ ฉะนั้นจึงควรพกไปในปริมาณที่เหมาะสม ส่วนยารักษาโรคเฉพาะทางจะต้องมีเอกสารใบรับรองจากแพทย์ระบุรายละเอียดของยาเป็นภาษาอังกฤษอย่างชัดเจน

No drugs allowed. Drugs, marijuana leaf with forbidden sign – no drug. Drugs icon in prohibition red circle. Anti drugs. Just say no. Isolated vector illustration on white background.

4. แมลง

เป็นมาตรการป้องกันด้านสิ่งแวดล้อมและปัญหาที่จะเกิดกับเกษรกรญี่ปุ่น เนื่องจากแมลงที่นำเข้าอาจจะเกิดการเพิ่มจำนวน รวมถึงเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อโรคที่อาจจะสร้างความเสียหายต่อพืชผลทางการเกษตรได้ ฉะนั้นทางการญี่ปุ่นจึงมีคำสั่งห้ามนำเข้าหากยังไม่ได้รับการอนุญาติ

5. ดิน ,พืชที่มีดินติดอยู่ ,แกลบ และฟางข้าว

เป็นเหตุผลทางด้านการป้องเชื้อโรคและแมลงศัตรูพืชที่อาจติดมาด้วย ในที่นี้ยังรวมถึงนำเข้าในลักษณะอื่น ๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ เช่น เป็นส่วนหนึ่งของอุปกรณ์ เครื่องใช้ ต่าง ๆ…ดังนั้นเราควรระมัดระวังและตรวจสอบให้ดี

6. เงินสดที่มากเกินไป

มันน่าสงสัยเป็นอย่างมากว่าการนำเงินไปจับจ่ายใช้สอยเพิ่มรายได้ให้กับชาวญี่ปุ่นมันไม่ดีตรงใหน ? …คำตอบคือ ดี…จริง ๆ แล้วไม่ได้ผิดกฎหมายหรือมีข้อห้ามอะไรขนาดนั้น เพียงแต่ว่าการพกเงินสดติดตัวเยาะจนเกินไป ในที่นี้คือมากถึง 100 เยน (รวมถึงทองคำ ทองรูปพรรณที่มีน้ำหนัก 1 กก.ด้วย ) มันสุ่มเสี่ยงว่าเราอาจนำเงินเข้าไปทำสิ่งที่ผิดกฎหมายหรือเกี่นวกับการฟอกเงินได้ ซึ่งจะทำให้เราต้องเสียเวลาตอบคำถามและแจกแจงรายละเอียดการนำเงินไปใช้ให้เจ้าหน้าที่ฟัง

…ดังนั้นควรเตรียมเงินไปใช้อย่างเหมาะสมเท่าที่จำเป็น หรือหากคิดว่ามีรายการใช้เงินจำนวนมาก แนะนำให้พกบัตรเครดิต หรือ Travel card จะสะดวกกว่า

7. สิ่งของที่ไม่มีใบอนุญาติในการนำเข้า

มีของบางอย่างที่ญี่ปุ่นกำหนดเป็นกรณีพิเศษว่า หากจะนำเข้าประเทศต้องมีใบอนุญาติก่อน ได้แก่ ของจำพวกผลไม้ เช่น ทุเรียน สับปะรด จำพวกผักแห้ง เช่น พริกแห้ง ถั่ว รวมถึงเมล็ดพันธ์ต่าง ๆ

8. สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์

ใครที่รักการแต่งตัวด้วยสินค้าแบรนด์เนม ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า แล้วล่ะก็ ต้องทำใจล่วงหน้าไว้เลยว่ายังไงก็ต้องถูกตรวจสอบแน่นอน เพราะญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องความเข้มงวดเกี่ยวกับสินค้าลิขสิทธิ์อยู่แล้ว ใครคิดที่จะเข้าไปเฉิดฉายกลางกรุงโตเกียวด้วยของแบรนดเนมที่เป็นของปลอมอาจจะต้องถูกยึดและถูกดำเนินคดีได้….ในที่นี้ยังรวมถึงของใช้ที่เป็นรูปตัวการ์ตูนที่มีลิขสิทธิ์ด้วย
…ถึงแม้สินค้าลิขสิทธิ์จะตรวจสอบยาก บางคนอาจโชคดีที่ผ่านด่านเจ้าหน้ามาได้ แต่ยังไงเราก็ควรป้องกันไว้ก่อนจะดีกว่า

9. หนังสือ หนังดีวีดี และสื่อ แนว 18+ ที่เกี่ยวกับเด็ก

หนังสือ หนังดีวีดี และสื่อ ต่าง ๆ ที่มีเนื้อหาเน้นความรุนแรง ,ส่อไปในทางลามก โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับเด็กและเยาวชนจะถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวด

..สุดท้าย..…..อย่างที่เรา ๆ รู้กันว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เคร่งครัดเรื่องกฎระเบียบมาก อะไรที่เขาห้ามเราก็ควรหลีกเลี่ยง จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลา เสียความรู้สึก หนักขึ้นมาอีกหน่อยก็คือเสียเงิน แล้วยังอาจจะต้องถูกดำเนินคดีอีกด้วย ถ้าไม่อยากให้การไปเที่ยวของเราต้องหมดอรรถรสก็ระมัดระวังกันด้วยนะครับ

เอาตัวรอดยังไงเมื่อ “ พาสปอร์ตหาย ” ที่ญี่ปุ่น

อะไรนะ…พาสปอร์ตหาย ! มาเที่ยวญี่ปุ่นทั้งทีก็หวังว่าจะมีแต่ประสบการณ์สนุก เร้าใจ แต่ใครจะไปคิดว่าจะเร้าใจได้ขนาดนี้ อุตส่าห์วางแผนมาแรมปี แล้วอย่างนี้จะต้องรีบ…แพ็คกระเป๋ากลับบ้านเลยไหม ?…อยู่ต่อได้ไหม ?…จะโดนกักตัวไหม ?…จะต้องติดคุกไหม ?…….อย่าครับ อย่าเพิ่งตกใจ หากหนังสือเดินทางหรือพาสปอร์ตหาย มีทางออกแน่นอนครับ มาดูกันครับว่าเราควรรับมือกับสถานการณ์นี้ยังไงดี…

เอ๊ะ ! หายจริง ๆ เหรอ ?

เป็นเรื่องปกติถ้าหากเราหาของไม่เจอก็คงต้องรู้สึกกังวลและคิดว่ามันหายไปแล้วแน่ ๆ ก่อนอื่นเราต้องตั้งสติแล้วลองหาอีกครั้ง ทั้งในกระเป๋าเสื้อผ้า กระเป๋าสะพาย กระเป๋าเดินทาง ลิ้นชักโต๊ะ กองเสื้อผ้าในห้องพัก หรือสถานที่ที่เราเพิ่งไป พยายามนึกให้ได้ว่าที่สุดท้ายที่เราถือพาสปอร์ตคือที่ไหน บางทีมันอาจจะตกหล่นอยู่ใกล้ ๆ ตัวเราก็ได้


ตรงปรี่เข้าไปขอความช่วยเหลือ

ติดต่อผู้ดูแลหรือประชาสัมพันธ์ของสถานที่ที่เราคิดว่าทำหนังสือเดินทางหาย เช่น ตลาด ห้างสรรพสินค้า แผนก Lost and Found ของสถานีรถไฟ โดยให้เบอร์โทรติดต่อของโรงแรมที่เราพักอยู่ไว้ บางทีวิธีนี้อาจจะทำให้เราได้พาสปอร์ตกลับคืนมาไวกว่าที่คิดก็ได้

Lost and Found sign at the Airport

ตำรวจญี่ปุ่นใจดี พึ่งพาได้

เมื่อเรากระหืดกระหอบกับการหาพาสปอร์ต จนมั่นใจว่ายังไง ๆ ก็ไม่มีวันหาเจอได้เองแน่ ๆ ให้เดินทางไปสถานีตำรวจเลยครับ แล้วเข้าไปแจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่าหนังสือเดินทางหาย เขาจะให้เรากรอกใบรับแจ้งความที่มีชือเรียกว่า ” เคซัสซึโชเม ” เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการทำพาสปอร์ตชั่วคราว… ***กรณีที่เราไปแจ้งกับเจ้าหน้าที่ที่ป้อมตำรวจ เอกสารใบรับแจ้งไม่สามารถนำไปยื่นเรื่องทำพาสปอร์ตชั่วคราวได้นะครับ ทำได้เพียงให้เบอร์ติดต่อไว้เผื่อมีคนเก็บได้แล้วนำมาให้คืน

ทางออกสุดท้าย…ทำหนังสือเดินทางชั่วคราว

เมื่อจนปัญญา ทำยังไงก็หาไม่เจอ เราสามารถไปยื่นเรื่องเพื่อขอทำหนังสือเดินทางชั่วคราวได้ครับ สำหรับญี่ปุ่นมี 2 ที่ให้เลือก คือสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงโตเกียว และสถานกงสุลใหญ่ ณ นครโอซาก้า แต่ก่อนที่เราจะไปยื่นเรื่อง ต้องรู้ก่อนนะครับว่าทั้งสถานเอกอัครทูตไทยและสถานกงสุลใหญ่ เปิดทำการเฉพาะวันจันทร์ถึงศุกร์ หยุด วันเสาร์และอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 9:00-12:00 น. และ 13:30-15:00 น. ไม่อย่างนั้นจะไปเสียเที่ยวนะ

เอกสารที่ต้องใช้สำหรับยื่นเรื่อง มีอะไรบ้าง ?

1. ใบแจ้งความ (เคซัสซึโชเม) ที่ออกให้โดยสถานีตำรวจในท้องที่

2. สำเนาเอกสารแสดงตัวบุคคลของไทย เช่น สำเนาหนังสือเดินทาง สำเนาบัตรประชาชนไทย สำเนาทะเบียนบ้านไทย *** เอามาจากไหน ? แน่นอนครับว่าเราควรเตรียมเอกสารที่ราชการออกให้สำรองเก็บไว้ทุกครั้งก่อนเดินทางไปต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบเอกสารหรือสแกนไฟล์เก็บไว้ เช่น Flash Drive , SD Card หรือเก็บไว้ใน Could ส่วนตัวที่สามารถเปิดจาก Internet ได้ทั่วโลก

3. รูปถ่ายสี ขนาด 4×4 ซ.ม. จำนวน 3 รูป หน้าตรง ไม่ใส่แว่นกันแดดและหมวก ซึ่งเราสามารถถ่ายได้ตามตู้ถ่ายรูปที่อยู่บริเวณสถานีรถไฟทั่วไป หรือบริเวณใกล้ๆ โซนตู้กดสินค้า หรือในร้านสะดวกซื้อ ที่สำคัญคือต้องเห็นใบหน้าชัดเจน

ที่ตั้ง….

1. สถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงโตเกียว (Royal Thai Embassy ,Tokyo)
ที่ตั้ง 3-14-6 Kami-Osaki, Shinagawa-ku, Tokyo 141-0021…อยู่ใกล้สถานีรถไฟเมกุโระ ประมาณ 170 เมตร

2. สถานกงสุลใหญ่ ณ นครโอซาก้า (Royal Thai Consulate-General)
ที่ตั้ง Bangkok Bank Building-4th floor, 1-9-16 Kyutaro-machi, Chuo-ku, Osaka 541-0056… อยู่ใกล้สถานีซาไคสุจิ-ฮมมาจิ ประมาณ 100 เมตร

เปลี่ยนได้ทันใจเมื่อต้องใช้แผนสำรอง

เมื่อเราทำหนังสือเดินทางหาย สิ่งที่ตามมานั่นก็คือ เราต้องลดเวลาในการเที่ยวลง หรือไม่ก็ต้องขยายเวลาออกไป เพราะในการทำพาสปอร์ตชั่วคราวต้องใช้เวลาในการดำเนินเรื่อง ยิ่งถ้าหายในวันเสาร์ อาทิตย์ด้วยแล้ว กว่าจะยื่นเรื่องได้ ก็ต้องรอวันจันทร์ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราต้องคิดวางแผนต่อก็คือ
• รีบจองที่พัก หากต้องยืดเวลาอยู่ต่อออกไป
• รีบโทรจองหรือเปลี่ยนเที่ยวบิน
• ควรเตรียมเงินสำรองไว้มากกว่าที่ต้องใช้จริง
• วางแผนกิจกรรมใหม่

เห็นไหมครับว่าต่อให้พาสปอร์ตเราจะหายจริง ๆ แต่มันก็จะมีวิธีการที่สามารถแก้ไขปัญหาได้ สิ่งที่สำคัญคือ เราจะต้องมีสติ รอบรู้ และวางแผน เราจึงจะเที่ยวได้อย่างสบายใจ…ไม่ต้องรีบเก็บกระเป๋ากลับบ้าน ไม่ต้องกลัวโดนกักตัว ไม่ติดคุกแน่นอนครับ.. แต่ถึงยังไงพาสปอร์ตฉบับจริงก็ยังมีความสำคัญมาก ๆ อยู่ นะครับอย่าละเลยในการเก็บรักษาล่ะ

Okayama (โอคายาม่า) ไม่ไปไม่ได้แล้ว 2 วัน 1 คืน

ใครๆ ที่มีทริปจะไปเที่ยวญี่ปุ่นแต่ยังไม่มีแพลนว่าจะไปเมืองอะไร เรามีแพลนมาเสนอนั้นก็คือเมืองโอคายาม่า (Okayama) จังหวัดที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคชูโกกุ (Chugoku) เมืองนี้อยู่ไม่ไกลจากโอซาก้า หรือฮิโรชิมา(Hiroshima) เดินทางสะดวกสามารถนั่งรถไฟชินคันเซน(shinkansen) ตรงมาจากโอซาก้าหรือฮิโรชิม่าก็ได้ค่ะ การเดินทางภายในตัวเมืองจะเดินทางด้วยรถรางโบราณ Okaden ที่มีอายุเก่าแก่กว่า 100 ปี แต่ปัจจุบันได้รับปรับปรุงใหม่อยู่ในสภาพที่ดีและใช้การได้ด้วยระบบที่ทันสมัย มีให้บริการด้วยกัน 2 สาย คือ สาย Higashiyama Line และสาย Sekibashi ค่ะ สำหรับการเดินทางมาจากเมืองๆ เพื่อเดินทางมาสามารถใช้เป็น Jr Pass nationwide ,Jr west kansai wide pass 5 วัน, Jr west kansai Hiroshima pass 5 วัน เป็นต้น

เริ่มต้นด้วยการ นั่งรถไฟชินคันเซน จากโอซาก้าใช้เวลาประมาณ 50 นาที ก็จะมาถึงโอคายาม่า มาถึงที่แรกที่เป็นเที่ยวก็เป็นแลนด์มาร์คก่อนเลยจากสถานี Jr Okayama ก็เดินมาตามถนน Momotaro-Odori จนสุดถนนใช้เวลาประมาณ 20 นาทีก็จะเจอกับทางลอดใต้ดิน เพื่อเดินต่อไปยัง ปราสาทโอคายาม่า(Okayama Castle) หรือที่นิยมเรียกกันว่า “ยูโจ” ที่แปลว่าปราสาทอีกาดำ(U-jo castle) เพราะว่าตัวปราสาทมีสีดำ

ปราสาทมีทั้งหมด 5 ชั้น ภายในจะตกแต่งสไตล์โมเดิร์น มีหอสังเกตการชื่อซึคิมิ ยากามูระ(Tsukimi Yagamura) สามารถขึ้นไปชมวิวสวยๆ ของเมืองหรือวิวมุมสูงของสวนโอคายาม่าได้เลย แล้วตอนนี้ตัวปราสาทเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้เข้าชมและได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ต่างๆ ภายในมีการแสดงภาพจำลองของปราสาทและข้าวของเครื่องใช้ของบรรดาเจ้านายในสมัยโบราณ นอกจากนั้นยังสามารถแต่งตัวเป็นเจ้าเมืองหรือเจ้าหญิง (ฟรีด้วยนะจ้า) หรือจะลองสัมผัสวิถีนักรบ นั่งเกี้ยวไดเมียว (พาหนะแบบญี่ปุ่นโบราณ) และถ่ายรูปเป็นที่ระลึกได้อีกด้วย ช่วงเวลาเปิดบริการ 09.00 น. – 17.30 น.

การเดินทาง จากสถานี JR Okayama นั่งลงบัสมาลงที่ป้าย Kenchomae ประมาณ 10 นาทีและเดินต่ออีกประมาณ 5 นาที หรือนั่งรถรางจากสถานี JR Okayama มาลงที่ป้าย Shiroshita และเดินประมาณ 10 นาที

เดินชมปราสาทเสร็จแล้วเดินออกมาทางข้างหน้าข้าม แม่น้ำอะซะฮิ(Takahashi) ไปอีกฟากก็จะเข้ามาใน สวนโคราคุเอน(Korakuen Garden) เป็นสวนที่ติดอันดับ 1ใน 3 จาก “มิชลินกรีนไกด์” เลยนะพวกเธอ(สวนนี้มีความสวยแบบไม่ได้มาเล่นๆ)

สวนนี้จัดวางผังมาตามสไตล์ญี่ปุ่นโดยแท้เลย ภายในมีเวทีละครโน, บ่อน้ำ, เนินเขา, ทิวต้นบ๊วย และไร่ชา แถมยังมีสนามหญ้าขนาดใหญ่โล่งๆ ที่ไม่ค่อยมีในสวนต่างๆ ในประเทศญี่ปุ่น ถือว่าเป็นลักษณะเด่นของสวนนี้ ยังไม่หมดแค่นี้ยังมีนาข้าว มีกรงนกนกกระสาขนาดใหญ่มาคอยอวดโฉม และสวนนี้ยังมีเหล่าไม้งามให้ชื่นชมทุกฤดูกาลไม่ว่าจะเป็น ซากุระ อาซาเลีย ไอริส และดอกบัว ในช่วงซากุระบาน สามารถนำอาหารและเครื่องดื่มมาปิกนิกนั่งชมซากุระและมองเห็นวิวปราสาทโอคายาม่า แล้วในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีก็สวยงามไม่แพ้กัน สามารถนั่งจิบชามัทฉำแพร้อมกับดูใบไม้เปลี่ยนสีที่สลับสับเปลี่ยนกันที่ร้านน้ำชาซึ่งอยู่ภายในสวนแห่งนี้ได้อีกด้วยจ้า

เวลาเปิดบริการ 07.00-18.00น. ของทุกวัน การเดินทางจากสถานี JR Okayama นั่งรถบัสไปลงที่ป้าย Korakuenmae หรือจากสถานี JR Okayama นั่งรถรางไปลงที่ป้าย Shiroshita และเดินอีกประมาณ 10 นาที

จากที่เดินเล่นในสวนใช้เวลาเดินเล่นอยู่ประมาณเกือบ 3 ชั่วโมง แต่สิ่งที่ไม่ลืมก็คือแวะซื้อของฝากและหาของกินรองท้องกันที่หน้าทางเข้าสวนค่ะ อิ่มกันแล้วก็ไปเที่ยวกันต่อที่ศาลเจ้าคิบิสึ(Kibitsu Shrine) เป็นศาลเจ้าเก่าแก่ของเมืองโอคายาม่า

สร้างเพื่อบูชา คิบิสึฮิโกะ โนะ มิโกโตะ (Kibitsuhiko-no-Mikoto) เจ้าชายในตำนาน ของเทพนิยายเรื่องดังอย่างโมโมทาโร่(Momotaro) ศาลเจ้านี้นิยมมากราบไหว้สักการะขอเรื่องความรักและการขอพรให้ชีวิตคู่ราบรื่น และก็อย่าลืมซื้อเครื่องรางลูกพีช (Nozoki Momo Mamori) ที่จะช่วยให้รักสมหวังกลับไปเป็นของที่ระลึกกันนะคะ

เวลาเปิดบริการ 6:00น.-18:00น. สถานที่จำหน่ายเครื่องรางเปิดบริการเวลา 8:30น.-17:00น. การเดินทางจากสถานี JR Okayama ลงที่สถานี JR Kibitsu แล้วเดินต่อประมาณ 10 นาที

จากที่ขอพรการแล้วก็ไปหาของอร่อยทานที่ Aeon Mall ที่เต็มไปด้วยร้านค้าและร้านอาหารให้ได้เลือกก่อนที่จะหมดแรงกลับที่พักเตรียมเที่ยวต่อในวันรุ่งขึ้นค่ะ

วันที่สองวันนี้ไปเที่ยวย่านเมืองเก่ากันที่ คุระชิกิ (Kurashiki) เป็นเมืองที่ผสมผสานกันระหว่างแบบตะวันตกกับแบบญี่ปุ่น นับเป็นย่านทางการค้าและการคมนาคมในอดีตแห่งหนึ่งในสมัยเอโดะ แต่ปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยนเป็นแหล่งท่องเที่ยวโบราณที่มีอาคารบ้านเรือนสไตล์ดั้งเดิม ที่สร้างขึ้นจากดินเหนียว และปูกระเบื้องหลังคาสีดำ คล้าย ๆ กัน ตลอดสองข้างทางค่ะ

ตื่นเช้ามานั่งรถไฟจาก สถานี JR Okayama ไปลงที่ลงที่ สถานี KURASHIKI โดยใช้เวลาประมาณ 15 นาที ก็จะมาถึง Mitsui Outlet Park ซึ่งเป็นห้างดังของเมืองคุระชิกิ ทางเข้าห้างจะเชื่อมกับทางออกของสถานี JR KURASHIKI ก็สามารถเดินเข้าไปช็อปปิ้งและห้างของกินก่อนจะไปเดินเที่ยวค่ะ

จากนั้นก็เดินทางไปตามป้ายเพื่อไปที่ ย่านประวัติศาสตร์ (Kurashiki Bikan Historical Quarter) ใช้เวลาเดินประมาณ 10-15 นาที ก็จะเจอกับอาคารบ้านเรือนโบราณ ที่เป็นที่พัก ร้านค้าที่ขายของที่ระลึกและร้านอาหารเต็มสองงข้างทาง

เมื่อเดินไปเรื่อยจะเจอ คลองคุระชิกิ (Kurashiki Canal) ที่เป็นไฮไลท์เด่นของที่นี่ สามารถล่องเรือพายชมวิวอาคารบ้านเรือนได้ชิลๆ

ตั้งแต่เวลา 9.30 น. – 17.00 น. โดยรอบละประมาณ 20 – 30 นาที ที่สำคัญในฤดูใบไม้ผลิ ช่วงที่ซากุระเบ่งบาน (ประมาณปลายเดือนมีนาคมเมืองนี้ จะกลายเป็นหนึ่งในจุดชมวิวซากุระที่สวยงาม เวลาเปิดบริการ ร้านค้าส่วนใหญ่จะเปิดเวลา 8.00 น. เป็นต้นไป นอกจากนี้ยังสามารถเดินเที่ยวสถานที่อื่นๆ ได้แก่ Ohara Family House และ Kurashiki IVY Square ซึ่งเป็นอาคารโบราณ มี พิพิธภัณฑ์ Ohara Museum of art, Japan Folk Toy&Doll Museum และ Yumiko Igarashi Museum อีกด้วยค่ะ และสุดท้ายก่อนกลับต้องห้ามพลาด คือ พิพิธภัณฑ์โมโมทาโร่ (Momotaro Karakuri Hakubutsukan Museum) ถ้าไม่มาก็จะถือว่ามาไม่ถึงเมืองโอคายาม่านะคะ

ตัวอาคารของพิพิธภัณฑ์เป็นอาคารเก่าที่ได้รับการดูแลอย่างดี ภายในมีประวัติของโมโมทาโร่ที่ตัวละครสำคัญในนิทานพื้นบ้านของญี่ปุ่นที่มีต้นกำเนิดที่เมืองโอคายาม่า มีร้านขายของที่ระลึก และมีทางเดินที่ออกแบบให้คล้ายบ้านผี

แล้วยังมีมุมถ่ายรูปเก๋ๆ มากมาย หนึ่งในมุมถ่ายรูปที่ได้รับความนิยมที่สุดคือมุมลูกพีชของโมโมทาโร่ ที่ทุกคนที่มาจะต้องมาต่อแถวยืนถ่ายรูปกันค่ะ

เวลาเปิดบริการ 10:00น. -17:00น. การเดินทางจากสถานี Jr Okayama นั่งรถไฟลงสถานี Kurashiki แล้วเดินต่อมาประมาณ 15 นาที

จากนั้นก็เดินทางกลับไปที่พักหรือไปเที่ยวจังหวัดอื่นๆ ของญี่ปุ่นได้ค่ะ แต่สำหรับใครที่มีเวลา 1วัน หรือ 2วัน แล้วอยากได้รับพลังงานบวกก็สามารถแวะมาเที่ยวที่เมืองโบราณอันแสนสงบเงียบอย่าง คุระชิกิ (Kurashiki) เที่ยวสวนสวยๆ และสถานที่ต่างๆ ของจังหวัดโอคายาม่าได้นะคะ

เพื่อนๆ สามารถสอบถามราคาพาสต่างๆ ได้ที่ บริษัท เจแปน ออล พาส จำกัด ( Japan All Pass Co.,Ltd. ) ☎ โทร. 02-514-7473 (วันจันทร์-เสาร์ เวลา 09.00-18.00 น.) สายด่วน 08-2828-9933 / 08-2828-9944 / 08-2828-9393 / 08-2828-9494 / 08-2828-9988

ID LINE : @japanallpass
หรือช่องทาง Inbox >>
สำหรับโทรศัพท์มือถือ คลิก m.me/japanallpass
สำหรับ Computer PC คลิก https://goo.gl/QhNgSN
หรือ [email protected]

เที่ยวแบบสโลว์ไลฟ์ที่ “อาคิตะ”

อาคิตะ (Akita) เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคโทโฮคุ บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่เกือบเหนือสุดของเกาะฮอนชู ถ้าพูดถึงจังหวัดอาคิตะ เพื่อนๆคงจะนึกถึงสุนัขสายพันธุ์อาคิตะกันแน่นอนเลยใช่ไหมคะ? ใช่แล้วค่ะ! ที่นี่เป็นแหล่งกำเนิดเจ้าสุนัขสายพันธุ์นี้ค่ะ และจังหวัดนี้ยังมีความสวยงามจากธรรมชาติอันสมบูรณ์ สถานที่ท่องเที่ยวที่มีทิวทัศน์ที่สวยงาม รอให้เพื่อนๆมาสัมผัสด้วยตัวเองอยู่นะคะ

หุบเขา Dakigaeri Gorge

หุบเขา Dakigaeri Gorge หนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคโทโฮคุ สถานที่ท่องเที่ยวที่มีริมหน้าผาทั้ง 2 ด้าน สีเขียวสลับกับสีฟ้าสดของสายน้ำที่ตัดผ่านใจกลางภูเขาในจังหวัดอาคิตะ (Akita) และยังมีสะพานแขวนสีแดง “Kami no Ishibashi” ที่เชื่อมหน้าผาทั้งสองฝั่งเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นจุดเด่นของหุบเขา Dakigaeri Gorge เลยก็ว่าได้ค่ะ

การเดินทาง จากสถานี Jindai นั่ง Taxi ต่อไปยัง หุบเขา Dakigaeri Gorge ใช้เวลาประมาณ 5 นาที หรือจากสถานี Kakunodate นั่ง Taxi ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีค่ะ

หุบเขา Dakigaeri Gorge
หุบเขา Dakigaeri Gorge
หุบเขา Dakigaeri Gorge
หุบเขา Dakigaeri Gorge
หุบเขา Dakigaeri Gorge
Akita Dog Museum

Akita Dog Museum หลายคนคงรู้จักเรื่องราวความรัก ความซื่อสัตย์ ความจงรักภักดีของสุนัขตัวหนึ่งที่มีให้กับเจ้าของจนหมดลมหายใจ นั่นก็คือเจ้าฮาจิโกะ(Hachiko) สุนัขที่มีรูปปั้นแลนด์มาร์กตั้งอยู่ที่หน้าสถานีชิบูย่า และเป็นสุนัขสายพันธ์อาคิตะ มีถิ่นกำเนินมาจากจังหวัดอาคิตะ ถ้าเพื่อนๆอยากรู้เรื่องราวของสุนัขสายพันธุ์นี้มากขึ้น ต้องไม่พลาดที่จะไปชมได้ที่ Akita Dog Museum นะคะ

การเดินทาง นั่งรถบัสจากสถานี Odate ไปลงยัง Odate City Hall และเดินต่ออีก 5 นาทีก็ถึงแล้วค่ะ

Akita Dog Museum
Akita Dog Museum
Akita Dog Museum
Tazawa Lake

Tazawa Lake เมื่อมาถึงอาคิตะ เพื่อนๆไม่ควรพลาดที่จะมายังทะเลสาบแห่งนี้นะคะ ทะเลสาบทาซาวะ เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ลึก และใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นโดยมีความลึกประมาณ 423 เมตรนอกจากความสวยงามของทะเลสาบแล้ว ที่นี่ยังมีตำนานของหญิงสาวที่ชื่อว่า ทัตสึโกะ เธอมาขอพรให้สวยงามเป็นอมตะ เทพเจ้าจึงให้มาดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ไหลมาจากตอนเหนือ ซึ่งก็คือน้ำจากทะเลสาบ เธอดื่มไปเรื่อยๆจนกลายเป็นมังกรอยู่ที่ทะเลสาบ ต่อมาก็มีชายหนุ่มฮาจิโร ที่เป็นมังกรเหมือนกัน ทั้งสองพบกัน และครองรักกันที่ทะเลสาบแห่งนี้ ความรักของทั้งสองอบอุ่นมาก จนทำให้ทะเลสาบที่นี่ไม่กลายเป็นน้ำแข็งในฤดูหนาวเลยล่ะค่ะ รับรองว่ามาสถานที่แห่งนี้เพื่อนๆจะไม่ผิดหวังแห่งนอนค่ะ

การเดินทาง จากสถานี Tazawako นั่งรถบัสมุ่งหน้าไปยัง Tazawako Lake และลงที่ป้าย Tazawa Lake Shore รถบัสสามารถนั่งวนรอบทะเลสาบไปยังจุดต่างๆได้ค่ะ

Tazawa Lake
Tazawa Lake
Tazawa Lake
Tazawa Lake
Tazawa Lake
หุบเขาโอยาสุ (Oyasu Valley)

หุบเขาโอยาสุ (Oyasu Valley) เป็นหุบเขาลึก มีระยะทางยาวกว่า 4 กิโลเมตร จะมีทางเดินทอดยาวไปตามลำธารให้เพื่อนๆได้ชมความงามของธรรมชาติ เมื่อเดินไปตามทาง และลงบันไดไปจะพบกับแหล่งน้ำพุร้อนที่ผุดขึ้นมาจากธรรมชาติ เกิดเป็นไอร้อนมีควันขึ้นมาปกคลุมไปทั่ว อยากบอกว่าลำธารที่นี่ มีอุณหภูมิสูงถึง 98 องศา และที่นี่เองก็ยังเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามมากๆ อีกด้วยนะคะ เตรียมตัวฟิตร่างกายให้พร้อม แล้วมาชมธรรมชาติกันค่ะ

การเดินทาง นั่งรถไฟ Akita Shinkansen (Komachi) จาก Tokyo ไปลงที่สถานี Omagari แล้วต่อรถไฟ JR Ou Honsen line จากสถานี Omagari ไปลงที่สถานี Yuzawa แล้วต่อรถบัส Ugo Kotsu จาก Yuzawa Eigyosho (bus terminal) ไปลงที่ Daifunto-Iriguchi ค่ะ (รถไฟ Akita Shinkansen และ JR Ou line สามารถใช้ JR East Tohoku Pass ได้ค่ะ)

หุบเขาโอยาสุ (Oyasu Valley)
หุบเขาโอยาสุ (Oyasu Valley)
หุบเขาโอยาสุ (Oyasu Valley)
หุบเขาโอยาสุ (Oyasu Valley)
พิพิธภัณฑ์นามาฮาเกะ (Namahage Museum)

พิพิธภัณฑ์นามาฮาเกะ (Namahage Museum) เป็นสถานที่ที่รวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับนามาฮาเกะ มีการแสดงวิธีทำเสื้อคลุมฟาง หน้ากากยักษ์ มีโรงหนังเล็กๆ ดูความเป็นมาของนามาฮาเกะ และเพื่อนๆยังสามารถลองสวมชุดนามาฮาเกะ พร้อมกับถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกได้อีกด้วย หรือถ้าไม่อยากสวมชุดก็ออกมาถ่ายกับรูปปั้นแทนก็ได้นะคะ ถ้ามีโอกาสอย่าลืมแวะไปกันน๊า..

การเดินทาง สามารถนั่งรถไฟ JR Oga ไปลงที่สถานี Hadashi และนั่ง Taxi ต่ออีกประมาณ 15 นาทีค่ะ

พิพิธภัณฑ์นามาฮาเกะ (Namahage Museum)
พิพิธภัณฑ์นามาฮาเกะ (Namahage Museum)
พิพิธภัณฑ์นามาฮาเกะ (Namahage Museum)

📌 เพื่อนๆ สามารถสอบถามราคาพาสต่างๆ ได้ที่ บริษัท เจแปน ออล พาส จำกัด ( Japan All Pass Co.,Ltd. ) ☎ โทร. 02-514-7473 (วันจันทร์-เสาร์ เวลา 09.00-18.00 น.) สายด่วน 08-2828-9933 / 08-2828-9944 / 08-2828-9393 / 08-2828-9494 / 08-2828-9988

ID LINE : @japanallpass
หรือช่องทาง Inbox >>
📱สำหรับโทรศัพท์มือถือ คลิก m.me/japanallpass
💻สำหรับ Computer PC คลิก https://goo.gl/QhNgSN
หรือ [email protected]