เที่ยวญี่ปุ่น เดินสวนผลไม้ อร่อยได้ทั้งปี

การวางแผนท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่น คงจะหนีไม้พ้นการเสาะหาของกินอร่อยๆ ที่แต่ละภูมิภาค จะมีความโดดเด่นที่หลากหลาย มากมาย หาทานได้ไม่เบื่อเลยจริงๆ แต่สำหรับเพื่อนๆ ที่ชอบทานผลไม้ ก็ต้องมีแพลนที่จะเลือกสวนผลไม้ เพื่อเข้าไปทานกันสดๆ จากในสวน ฟินอย่าบอกใครค่ะ
แต่เพื่อนๆ ทราบหรือไม่ว่า.. สวนผลไม้ที่เราจะไปนั้นเปิดให้เข้าไปเก็บได้ในช่วงเดือนไหน… มาดูกันเลยค่ะ

ลูกพลับ (Persimmon)

จะออกผลในช่วง ตั้งแต่เดือนตุลาคม ไปจนถึงเดือนธันวาคม ลูกพลับแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือลูกพลับที่มีรสหวาน และลูกพลับที่มีรสฝาด (ถ้าเป็นรสฝาดจะยังไม่สามารถทานเลยได้ เพื่อนๆ ต้องปอกเปลือกและนำไปตากแดดให้แห้งก่อน เพื่อทำให้ความหวานในลูกพลับมีความหวานมากขึ้น)

01

สวนลูกพลับ
สวน Aduma kajyu (เมืองฟุกุชิมะ) ให้เวลา 30 นาที / ราคาผู้ใหญ่คนละ 1,300 เยน

เชอร์รี่ (Cherry)

เปิดให้เข้าไปเก็บได้ในช่วงเดือนมิถุนายน ถึงเดือนกรกฎาคม เชอร์รี่ก็เป็นผลไม้อีกประเภทหนึ่งที่มีราคาค่อนข้างสูง แต่ก็เป็นที่นิยมกันทั้งชาวญี่ปุ่นและต่างชาติ ชาวญี่ปุ่นนิยมนำเชอร์รี่ไปทำแปรรูป เช่น แยม และเหล้า

02

สวนเชอร์รี่

  • Tanigawaen Farm (เมืองมินากามิ , จังหวัดกุนมะ) ให้เวลา 30 นาที / ราคา 1,500 เยน
  • Dole Land Minakami Farm (เมืองมินากามิ , จังหวัดกุนมะ) ให้เวลา 30 นาที / ราคาผุ้ใหญ่ 1,500 เยน และราคาเด็ก 800 เยน

แอปเปิ้ล (Apple)

จะเปิดช่วงตั้งแต่เดือนกันยายน ไปจนถึงเดือนธันวาคม ชาวญี่ปุ่นชอบแอปเปิ้ลที่เป็นผลสีแดง เพราะเชื่อกันว่าแอปเปิ้ลสีแดงนั้นดีต่อสุขภาพ เป็นผลดีต่อผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง สามารถปรับสมดุลในร่างกายให้ดีขึ้นอีกด้วย พันธุ์แอปเปิ้ลที่ญี่ปุ่น ที่นิยมกันมาก็คงจะไม่พ้นสายพันธุ์ “ฟูจิ” สายพันธุ์นี้มีมีสีแดงสด หวาน และกรอบ เป็นสายพันธุ์ที่ครึ่งนึงของประเทศญี่ปุ่นปลูก ต้นแอปเปิ้ลบางสายพันธุ์มีขนาดไม่สูงมาก ความสูงของเด็กยังสามารถเก็บได้ แต่บางต้นบางพันธุ์มีขนาดสูง จึงต้องใช้บันไดปีนขึ้นไปเก็บ ดังนั้นกิจกรรมการเก็บแอปเปิ้ลที่สวน ก็เป็นกิจกรรมหนึ่งที่คนญี่ปุ่นและคนไทยส่วนใหญ่นิยมไปเก็บกันค่ะ

03

สวนแอปเปิ้ล

  • สวนอะเบริโกะ เอ็น Aberiko-En (เมืองมินากามิ , จังหวัดกุนมะ) ค่าบริการ ราคาคนละ 350 เยน
  • Kimura kankou Fruit Farm (จังหวัดยามากาตะ) ให้เวลา 30 นาที / ราคา 500 เยน

สตรอว์เบอร์รี่ (Strawberry)

ส่วนใหญ่เปิดให้เข้าเก็บได้ในช่วงเดือนมกราคม ไปจนถึงเดือนพฤษภาคม (แต่บางแห่งเปิดให้เข้าเก็บได้ตั้งแต่ช่วงเดือนพฤศจิกายน ไปจนถึงเดือนมิถุนายน) การเก็บสตรอว์เบอร์รี่เป็นที่ได้รับความนิยมชื่นชอบมากที่สุด ถึงแม้ว่าจะอยู่ในช่วงฤดูเก็บสตรอว์เบอร์รี่ แต่ถ้าหากนักท่องเที่ยวเดินทางไปกันเยอะๆ สตรอว์เบอร์รี่ก็อาจจะไม่เพียงต่อการเก็บ ดังนั้นเพื่อนๆ ควรจะโทรไปสอบถามข้อมูลกับทางสวนล่วงหน้าเสียก่อน เพื่อที่จะได้เดินทางไปไม่เสียเที่ยวนะคะ

04

สวนสตรอว์เบอร์รี่

  • Sagae Strawberry Farm (เมือง Sagae จังหวัด Yamagata) ให้เวลา 30 นาที / ราคาคนละ 1,600 เยน
  • Noen Kinokuni สวนโนเอ็นคิโนะคุนิ (เมืองโกะโบ , จังหวัดวาคายามะ) ให้เวลา 40 นาที / ราคาคนละ 1,600 เยน

เมล่อน (Melon)

จะเริ่มออกผลช่วงเดือนเมษายน ไปจนถึงเดือนสิงหาคม เมล่อนมีหลายพันธุ์ และหลายสีทั้งสีเขียว สีส้ม สีขาว แม้จะเป็นผลไม้ที่มีราคาค่อนข้างสูง แต่ก็ยังเป็นที่นิยมไม่แพ้ผลไม้อื่นๆ ชาวญี่ปุ่นนิยมซื้อเป็นของขวัญ ของฝาก หรือซื้อไปเยี่ยมคนป่วย เมล่อนถ้าจะให้อร่อยแนะนำให้เอาไปแช่เย็นก่อนแล้วค่อยเอามารับประทาน แต่อย่าเอาไปแช่เย็นนานเพราะจะทำให้ความหวานของเมล่อนลดลงนะจ๊ะ

05

สวนเมล่อน
Minami Kajuen Farm (จังหวัดอิบารากิ) ให้เวลา 30 นาที / ราคาผู้ใหญ่ 1,300 เยน และ ราคาเด็ก 840 เยน (ต้องจองล่วงหน้า)

องุ่น (Grape)

ช่วงที่จะเปิดให้เข้าไปเก็บได้ จะเป็นช่วงเดือนกรกฎาคม ไปจนถึงช่วงตุลาคม องุ่นมีหลากหลายสายพันธุ์ หลายขนาด และสีสันก็จะแตกต่างกันไป เรื่องรสชาติขององุ่น จะมีรสชาติที่หวานอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นพันธุ์ที่ไม่มีเมล็ด และลูกเล็ก ก็จะเป็นพันธุ์ “เดลาแวร์” พันธุ์นี้เป็นที่ชื่นชอบในหมู่เด็กๆ เลยล่ะค่ะ

06

สวนองุ่น
สวน Aduma kajyu (เมืองฟุกุชิมะ) ให้เวลา 30 นาที / ราคาผู้ใหญ่คนละ 1,300 เยน

สวนผลไม้ในแต่ละภูมิภาค แต่ละจังหวัด อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงฤดูกาลและสภาพอากาศในแต่ละปี ถ้าเป็นช่วงที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางไปเป็นจำนวนมาก ผลไม้ที่เราต้องการจะไปเก็บอาจจะไม่เพียงพอ แอดมินแนะนำให้เพื่อนๆ ตรวจสอบข้อมูลของสวนแต่ละแห่งที่เพื่อนๆ จะเดินทางไปก่อนล่วงหน้า เพื่อที่จะได้ไปทานได้อย่างเต็มอิ่ม และมีความสุขค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก JNTO http://www.jnto.or.th/activities/fruit-picking/seasonal-fruit/

>> สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บริษัท เจแปน ออล พาส จำกัด ( Japan All Pass Co.Ltd. )

โทร. 02-514-7473 (วันจันทร์-เสาร์ เวลา 09.00-18.00 น.)
หรือติดต่อฝ่ายขายโดยตรงได้ที่ LINE : https://lin.ee/jKISGty

เจอาร์พาสพาเที่ยวชิล ที่คิวชูเหนือ ด้วย JR KYUSHU NORTH ตอน 3

ในตอนที่แล้ว แอดมินพาเดินทางไปเที่ยวที่ จ.นางาซากิ (Nagasaki) มาแล้ว วันนี้จะพาไปเที่ยวที่ จ.โออิตะ (oita) หลายๆคนคงจะ งง สงสัย ครุ่นคิดอยู่ในใจ ว่ามีอะไรให้เที่ยวที่จังหวัดนี้ ไม่ต้องรอช้า เราไปดูที่เที่ยวยอดฮิตของที่นี่ คือ

เมืองเบปปุ [Beppu] และก็เมืองยูฟุอิน [Yufuin]ยังไงล่ะคะ ไปดูกันเลยดีกว่าค่ะ

ติดตามอ่านย้อนหลังได้ที่นี่ >> ตอนที่ 1 >> ตอนที่ 2

นั่งรถไฟที่สถานี Hakata นั่งรถไฟขบวนโซนิคไปลงที่สถานีเบปปุ (Beppu) ที่เป็นเมืองแห่งออนเซน ที่เพื่อนๆจะสามารถมองเห็นควันลอยพุ่งมาจากที่ต่างๆในเมือง เพื่อสร้างบรรยากาศที่สวยงามแล้วชวนฝันไปทั่วเมืองเลยนะคะ เนื่องจากเป็นเมืองออนเซนดังนั้น เราก็ต้องไปเที่ยวออนเซ็นและที่เป็นไฮไลท์ที่นี้คือ บ่อนรกทั้งแปด (Eight Hell Tour) หรือเรียกว่า Jigoku Meguri ซึ่งจิโกกุ เมกุริ คือบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติที่เกิดขึ้นภายหลังการระเบิดของภูเขาไฟ จะมีทั้งหมด 8 บ่อ และมีลักษณะที่แตกต่างกันไปค่ะแต่ละบ่อไม่สามารถลงแช่ได้ เพราะจะมีแร่ธาตุต่างๆ อยู่เข้มข้น และที่สำคัญที่สุด มันร้อนม๊าก..มากกกกกกเลย ขืนลงไปแช่นะไม่อยากจะเอ่ยเลย มันต้องทำให้สุกได้แน่ๆเลยค๊า ~~~

การเดินทางไปจะมี 6 บ่อที่อยู่ใกล้ๆกันและสามารถเดินได้ค่ะ ส่วนอีก 2 บ่อต้องต่อรถบัสไปอีกค่ะ เริ่มต้นด้วยการไป 6 บ่อแรกก่อนนะคะ เดินทางไปชมบ่อน้ำพุร้อนบริเวณ Kanawa Onsen นั่งรถเมล์จากสถานี Beppu สาย 2,5,9,41 หรือ 43 ลงที่ป้าย Umi-jigoku mae ใช้เวลาประมาณ 15 นาที (ค่าโดยสาร 320 เยน)

บ่อที่ 1 ยูมิ จิโกกุ (Umi Jigoku) หรือ “บ่อทะเลเดือด (Sea Hell)” บ่อทะเลเดือด (Sea Hell) หรือ ยูมิ จิโกกุ เป็นบ่อที่นักท่องเที่ยวจะนิยมไปชมมากที่สุด เพราะมีความสวยงามดูเป็นนรกน้อยกว่าแห่งอื่น ๆค่ะ บ่อนี้ยังสามารถต้มไข่ให้สุกได้ด้วยค่ะ แล้ว ก่อนจะออกมาห้ามลืมไปนั่งแช่เท้าในบ่อน้ำร้อนใต้ศาลาเป็นออนเซ็นเท้าที่จะทำให้เพื่อนๆรู้สึกสบายเท้าและมีแรงในการเดินเที่ยวต่อไปค่ะ แถมยังให้บริการแบบฟรี ๆ จะนั่งแช่นานเท่าใดก็ได้ค๊า

บรรยากาศของบ่อ Umi Jigoku หรือบ่อทะเลเดือด
บรรยากาศของบ่อ Umi Jigoku หรือบ่อทะเลเดือด
มาต้มไข่ให้สุกกันเลยดีกว่าที่บ่อทะเลเดือด
มาต้มไข่ให้สุกกันเลยดีกว่าที่บ่อทะเลเดือด

บ่อที่ 2 โอนิอิชิโบสุ จิโกกุ (Oniishibozu Jigoku) หรือ “บ่อโคลนเดือด (Monk’s Hell หรือ Mud Bubbles) โดยบ่อนี้จะมีลักษณะคล้ายโคลนสีเทาเดือดปุด ๆ ขึ้นมาเป็นฟองกลมค่ะ

IMG_9891
บ่อ Oniishibozu Jigoku หรือ “บ่อโคลนเดือด”
ฟองโคลนกลมๆที่อยู่ในบ่อบ่อโคลนเดือด
ฟองโคลนกลมๆที่อยู่ในบ่อบ่อโคลนเดือด

บ่อที่ 3 ยามะ จิโกกุ (Yama Jigoku) หรือ “หุบเขานรก (Mountain Hell)” บ่อนี้จะมีน้ำพุร้อนพุ่งออกมาจากโขดหินค่ะ และตั้งอยู่ใกล้บ่อทะเลเดือดและบ่อโคลนเดือดเลยค่ะ
บ่อที่ 4 คามาโดะ จิโกกุ (Kamodo Jigoku) หรือ “นรกกระทะทองแดง (Oven Hell หรือ Cooking Pot Hell)” บ่อนี้จะมี แอ่งน้ำพุร้อนอุณหภูมิ 90 องศาเซลเซียส และจะตั้งอยู่ห่างบ่อทะเลเดือดและบ่อโคลนเดือดออกไปเล็กน้อย โดยทางเข้ามีรูปปั้นยมทูตถือกระบองยืนอยู่สะแหยะยิ้มอยู่เลยค๊า

บ่อที่ 3 ยามะ จิโกกุ (Yama Jigoku) หรือ "หุบเขานรก (Mountain Hell)" บ่อนี้จะมีน้ำพุร้อนพุ่งออกมาจากโขดหินค่ะ และตั้งอยู่ใกล้บ่อทะเลเดือดและบ่อโคลนเดือดเลยค่ะ บ่อที่ 4 คามาโดะ จิโกกุ (Kamodo Jigoku) หรือ "นรกกระทะทองแดง (Oven Hell หรือ Cooking Pot Hell)" บ่อนี้จะมี แอ่งน้ำพุร้อนอุณหภูมิ 90 องศาเซลเซียส และจะตั้งอยู่ห่างบ่อทะเลเดือดและบ่อโคลนเดือดออกไปเล็กน้อย โดยทางเข้ามีรูปปั้นยมทูตถือกระบองยืนอยู่ยิ้มหวานค๊า

IMG_0152

มีอุณหภูมิ 90 องศาถ้าตกลงไปสุกแน่ๆเลยขอบอก
มีอุณหภูมิ 90 องศาถ้าตกลงไปสุกแน่ๆเลยขอบอก

บ่อที่ 5 โอนิยามะ จิโกกุ (Oniyama Jigoku) หรือ “หุบเขาปีศาจ (Devil’s Mountain Hell)” บ่อนี้เค้าเลี้ยงจระเข้เอาไว้ด้วยนะ แต่ไม่ได้เลี้ยงไว้ในน้ำพุร้อนนะคะ เจ้าจระเข้พวกนี้จะชอบอาศัยอยู่ในน้ำอุ่นค่ะ แค่มาที่นี่ที่เดียวก็จะได้ดูฟาร์มจระเข้ไปในตัวด้วยเลยเจ้าค่ะ และที่นี้เค้ายังมีรอบเวลาให้อาหารจระเข้าด้วยน๊า ถ้าใครไปตรงช่วงเวลาก็อาจได้ชมการให้อาหารจระเข้ไปด้วยค่ะ

IMG_0147
เจ้าจระเข้น้อยที่มาโชว์ตัวให้เพื่อนได้ยลโฉม
IMG_0139
บรรยากาศรอบๆบ่อค่ะ

บ่อที่ 6 ชิราอิเกะ จิโกกุ (Shiraike Jigoku) หรือ “นรกสีขาว (White Pond Hell)” บ่อนี้มีลักษณะเป็นบ่อน้ำพุร้อนสีขาวคล้ายน้ำนมค่ะ และน้ำในบ่อนี้อุณหภูมิสูงเกินกว่าที่จะลงไปแช่ได้ค่ะ

IMG_9801
บรรยากาศน้ำพุร้อนบ่อนรกสีขาว

เดินมาจนครบ 6 บ่อแล้ว และไปต่อบ่อที่ 7 และ8 ค่ะ การเดินทางไปชมบ่อน้ำพุร้อนบ่อที่ 7 และ 8 นั่งรถเมล์สาย 9 จาก Umi-jigoku ไปที่ Shibaseki ลงที่ป้าย Chinoike Jigoku mae แต่นาน ๆมีรถค่ะ แนะนำนั่งแท๊กซี่ไปจะสะดวกกว่าค่ะ

บ่อที่ 7 ชิโนอิเกะ จิโกกุ (Chinoike Jigoku) หรือ “บ่อสีเลือด (Blood Pond Hell)” บ่อนี้เป็นบ่อที่มีชื่อฟังดูน่ากลัวเน๊อะ แต่ไม่ได้น่ากลัวแบบชื่อเลยค่ะ เพียงแค่บ่อนี้มีสีแดงคล้ายสีเลือดเดือดที่เห็นเป็นสีแดงเพราะมีส่วนประกอบของสนิมเหล็กอยู่มากค่ะ และบ่อนี้จะอยู่ห่างจากบ่อนรกทั้ง 6 แห่งข้างต้นมาอีกราว 10 นาทีโดยรถเมล์ค่ะ

IMG_9791
น้ำมีสีคล้ายสีเลือด

บ่อที่ 8 ทัตสึมากิ จิโกกุ (Tatsumaki Jigoku) หรือ “น้ำพุนรก (Spout Water Hell)” ที่เรียกน้ำพุนรก ก็เพราะทุก ๆ 20-30 นาทีจะมีน้ำพุร้อนพุ่งขึ้นมาจากใต้พิภพอย่างรุนแรงแล้วแต่ละครั้งใช้เวลาพ่นน้ำนานถึง 5 นาทีเลยที่เดียวค่ะ และมีการพุ่งกันทั้งคืนทั้งวันทั้งเดือนทั้งปีเลยนะจ๊ะ บ่อนี้อยู่ไม่ไกลจากบ่อสีเลือดเพื่อนๆสามารถเดินไปได้ค่ะ

และแล้วก็พาไปเดินเที่ยวชมจนครบทั้ง 8บ่อแล้วจ้า~~ ไปเที่ยวกันต่อดีกว่าค่ะ อื้ม….

พาไปเที่ยวยูฟุอิน จากสถานีเบปปุนั่งรถไฟขบวน YUFUIN NO MORI ไปลงที่สถานียูฟุอินเลยค่ะ จะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงค่ะ พอออกจากสถานีก็จะมุ่งหน้าไปที่ทะเลสาป Kinrinko แต่ระหว่างทางจะพบกับร้านค้าต่างๆมากมายเต็มไปหมดเลยค่ะ

IMG_5342
ถนนคนเดินที่หมู่บ้านยูฟูอินค่ะ (โรแมนติก มว๊ากก)

อีกสถานที่หนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ Yufuin Floral Village เป็นเมืองจำลองเมืองเล็กๆ ในสไตล์ยุโรปค่ะ ทุกร้านค้าจะมีธีมเป็นบ้านดิน มีขายของจิปาถะมากมายเลยค่ะ

Yufuin Floral Village
Yufuin Floral Village

หลังจากที่แวะ Yufuin Floral Village แล้วก็เดินต่อไปเรื่อยจนสุดทางก็จะเจอ ทะเลสาป Kinrinko ค่ะ

มีบ้านแบบนี้ก็คงจะดีเน๊อะ
มีบ้านแบบนี้ก็คงจะดีเน๊อะ
ทะเลสาป Kinrinko
ทะเลสาป Kinrinko
ลำธารนี้เชื่อมไปถึงทำเลสาบเลยค่ะ
ลำธารนี้เชื่อมไปถึงทะเลสาบเลยค่ะ

IMG_0571

สำหรับเพื่อนๆที่ไปเที่ยวที่เกาะคิวชูไม่ควรพลาดจังหวัดโออิตะ (Oita) เลยนะคะ เพราะที่จังหวัดนี้ถือเป็นเมืองที่มีอากาศที่บริสุทธิ์และมีออนเซนที่น่าสนใจมากมายหลายบ่ออย่างเมืองเบปปุ (Beppu) และยูฟุอิน (Yufuin) ค่ะ การเดินทางไปเที่ยวก็ไม่ยากแค่มีตั๋ว JR Pass หรือ JR Kyushu North ก็สามารถเดินทางไปเยือน 2 เมืองนี้ได้แล้วค่ะ

Cover

ในตอนต่อไป สำหรับเพื่อนๆ ที่มี JR Kyushu North  หรือ JR Pass จะได้ไปเที่ยวไหนอีก เดี๋ยวแอดมินจะพาทัวร์กันอีกตอนค่ะ

>> สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บริษัท เจแปน ออล พาส จำกัด ( Japan All Pass Co.Ltd. )

โทร. 02-514-7473 (วันจันทร์-เสาร์ เวลา 09.00-18.00 น.)
หรือติดต่อฝ่ายขายโดยตรงได้ที่ LINE : https://lin.ee/jKISGty

ทาคายาม่า (Takayama) เมืองแห่งสายน้ำ วัฒนธรรมเก่าแก่ ณ จังหวัดกิฟู (Gifu)

เมืองทาคายาม่า (Takayama)เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมดั้งเดิม ที่เกิดจากการอนุรักษ์จากรุ่นสู่รุ่น เห็นได้จากสิ่งปลูกสร้างในเมือง รวมถึงภูเขาและสายน้ำที่ล้อมรอบ ซึ่งถือเป็นเมืองที่มีความสงบ บ่งบอกถึงความเป็นอยู่ดั้งเดิมของชาวเมืองได้เป็นอย่างดีเลยครับ

01

02

การเดินชมเมืองเก่า ทำให้มีกลิ่นอายเหมือนเดินอยู่ในเกียวโต ที่มีย่านเก่า ที่เรียกว่า Old Town หรือ Sanmachi Suji ที่ซึ่งบริเวณนี้จะมีถนนคนเดินเล็กๆ มีบ้านไม้เก่าแบบดั้งเดิม ทอดยาวอยู่ตรงถนนเส้นนี้ ซึ่งเป็นทั้งร้านขายของฝาก ขนม ของกิน และโรงกลั่นเหล้าสาเกญี่ปุ่น ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากเลยทีเดียว แนะนำว่ามาช่วงเช้า จะได้บรรยากาศมากๆ รวมถึงอาจได้ภาพสวยๆ ด้วยเพราะคนยังไม่เยอะครับ

ไหนๆ ถ้ามาแต่เช้าแล้ว คงจะพลาดไม่ได้เลยครับ กับการเดินชมตลาดในยามเช้า ตลาดเช้ามิยางาวะ
ที่มีสินค้าจากชาวบ้านโดยส่วนใหญ่เป็นสินค้าเกษตรของเมืองทาคายาม่า พืชผัก ผลไม้ รวมถึงอาหารอีกมากมาย อีกทั้งยังมีขนมที่ทำกันสดๆ ขนมเซมเบ้ และของโปรดของผม คือ โยเกิร์ตสด ที่ได้ลองแล้ว อยากจะขนกลับบ้านซะจริงๆ นอกจากความหลากหลายที่จะดึงดูดเรา พ่อค้าแม่ค้าที่นี่ก็น่ารัก และใจดีมากๆ ครับ

ตลาดเช้ามิยางาวะ
ตลาดเช้ามิยางาวะ

IMG_2449

ไปต่อกันที่การเดินชมหมู่บ้าน Sanmachi-Dori จากภาพจะมีตึกเก่าเรียงรายสองข้างทางที่งดงาม และยังคงความมีเอกลักษณ์ แวะดื่มกาแฟอุ่นๆ ทานขนมพื้นเมืองขึ้นชื่อของเมือง แวะชิมสาเก รวมถึงการเลือกซื้องานฝีมือจากชาวพื้นเมือง แค่นี้เดินได้ทั้งวัน ไม่มีเบื่อแน่นอนครับ

IMG_7328

IMG_7330IMG_7355

แวะมาเที่ยวกันต่อที่ Takayama Jinya (ที่ Historical Government House)

ที่ถูกตั้งขึ้นจากผู้สำเร็จราชการในสมัยเอโดะ ในศตวรรษที่ 18 ด้วยการบริหารเขตพื้นที่ฮิดะ ที่ซึ่งเต็มไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่มีค่ามากมาย ทั้งแรกประเภทเงิน หรือทอง และความอุดมสมบูรณ์ของป่าไม้
ที่นี่มีค่าเข้าชม สำหรับผู้ใหญ่ 430 เยน , เด็กเข้าฟรี

IMG_7316
อาคาร Takayama Jinya

IMG_2416

มาชม Yoshijimake Jutaku (Yoshijima Heritage House) คือบ้านของครอบครัว Yoshijima ที่เปิดให้เข้าชมด้านใน ที่ได้รับการอนุรักษ์เป็นอย่างดี ซึ่งทำธุรกิจเกี่ยวกับสาเกญี่ปุ่น ภายในเป็นบ้านแบบเพดานสูง เพื่อเปิดรับแสงแดด ทำให้บ้านหลังนี้ มีความงดงามมากยิ่งขึ้น เมื่อบรรยากาศภายในกระทบกับแสงแดดที่ทอดเข้ามา
ราคาค่าบัตรผ่าน: ผู้ใหญ่ 500 เยน เด็ก 300 เยน

IMG_2429

อย่าลืมจุดถ่ายรูปสวยๆ ที่สะพาน Nakabashi
เป็นสะพานสีแดงสด ที่มีแม่น้ำทอดไหลผ่านด้านล่าง ไม่ว่าจะถ่ายยามที่มีแสงแดดตกกระทบผืนน้ำ หรืออารมณ์โรแมนติกในการถ่ายยามค่ำคืนที่มีแสงแห่งธรรมชาติ และเพื่อนๆ จะเลือกไม่ถูกเลยว่าการมาถ่ายภาพที่สะพานแห่งนี้ ฤดูไหนจะสวยกว่ากัน ไม่ว่าจะเป็นหิมะ, ใบไม้เปลี่ยนสี หรือวิวซากุระ

IMG_2427
สะพาน Nakabashi แลนด์มาร์กสวยๆ ที่เก็บภาพสวยๆ ได้ทุกฤดูเลย

การเดินทางไปยังเมืองทาคายาม่า (Takayama) สำหรับเพื่อนๆ ที่ถือ JR PASS, JR Takayama-Hokuriku หรือ JR Alpine Takayama-Matsumoto ก็เหมือนมีสิทธิพิเศษ เพราะเดินทางไปได้แบบสะดวกสบายเลยทีเดียวครับ

1. จากโตเกียว นั่งรถไฟ JR Hokuriku Shinkansen จากโตเกียวไปยังเมืองโทยาม่าและเปลี่ยน
ขบวนเป็น JR Hida limited express ใช้เวลารวมประมาณ 4.65 ชั่วโมง
2. จากเมืองนาโงย่า มีรถไฟ JR Hida limited express วิ่งตรงมายังเมืองทาคายาม่าใช้เวลาประมาณ
2.28 ชั่วโมง
3. จากสถานีโอซาก้า นั่งรถไฟ SHINKANSEN NOZOMI 292 มาลงที่สถานี นาโกย่า จากนั้น นั่งรถไฟ LTD. EXP (WIDE VIEW) HIDA 1 มาลงที่สถานีทาคายาม่า ใช้เวลาประมาณ 3.49 ชั่วโมง

การเดินทางในเมืองทาคายาม่า

เพื่อนๆ สามารถเดินทางโดยรถบัส ซึ่งมี 2 สาย วิ่งในเมือง
สายที่ 1 The Machinami Bus วิ่งจากสถานีรถไฟทาคายาม่า – Old Town ราคา 100 เยน / เที่ยว
สายที่ 2 Sarubobo Bus วิ่งระหว่างสถานีทาคายาม่าไปยัง
Hida no Sato และ the Matsuri no Mori ค่ารถ 210 เยน /เที่ยว
หรืออยากประหยัด สามารถซื้อ Bus Pass ราคา 620 เยน ที่นั่งได้ทั้ง 2 สาย แบบไม่จำกัดภายใน 1 วัน คุ้มค่ามากๆ ครับ

IMG_2442

ในตอนต่อไป แอดมินจะพาไปเที่ยวที่ไหน อย่าลืมมาติดตามได้ได้เรื่อยๆ นะครับ

>> สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บริษัท เจแปน ออล พาส จำกัด ( Japan All Pass Co.Ltd. )

โทร. 02-514-7473 (วันจันทร์-เสาร์ เวลา 09.00-18.00 น.)
หรือติดต่อฝ่ายขายโดยตรงได้ที่ LINE : https://lin.ee/jKISGty

JR West Hiroshima – Yamaguchi Area Pass

JR West Hiroshima-Yamaguchi เริ่มเที่ยวได้จากคิวชู (Kyushu) สู่ ชูโกขุ (Chugoku) เริ่มจากสถานี Hakata เที่ยวยาวไปถึง Hiroshima, Yamaguchi ได้แบบสบายๆ 5 วันต่อเนื่อง

เส้นทางที่กำหนด

ราคา JR West Hiroshima-Yamaguchi 5 วันต่อเนื่อง

ซื้อนอกประเทศญี่ปุ่น ผู้ใหญ่ 15,000 เยน
เด็ก(6-11 ปี) 7,500 เยน
ซื้อในประเทศญี่ปุ่น ผู้ใหญ่ 15,000 เยน
เด็ก(6-11 ปี) 7,500 เยน

การใช้งาน

  • สามารถใช้ Hiroshima-Yamaguchi Area Pass ในการเดินทางได้อย่างไม่จำกัดครั้งในพื้นที่ที่ระบุบนแผนที่
  • รถไฟที่ใช้บริการได้มีดังต่อไปนี้
    รถไฟหัวกระสุน “SANYO SHINKANSEN” (Mihara ⇔ Hakata) เมื่อนั่งที่นั่งแบบจองล่วงหน้า
    สามารถใช้ Pass ในการขึ้นรถไฟ Hello Kitty Shinkansen ได้
    รถไฟประเภท Express Train เมื่อนั่งที่นั่งแบบจองล่วงหน้า
    รถไฟประเภท Rapid Service หรือ Special Rapid Service หรือประเภท Local ในเส้นทางเดินรถไฟธรรมดาของ JR-WEST
    เรือ JR WEST MIYAJIMA FERRY (Miyajimaguchi ⇔ Miyajima)
  • สามารถทำ Reserved Seat ที่ตู้ปกติได้ฟรีแบบไม่จำกัดครั้ง สามารถใช้กับขบวน Sanyo Shinkansen (Mihara⇔Hakata) และขบวนรถไฟด่วนพิเศษ
  • สามารถใช้ผ่านประตูตรวจตั๋วอัตโนมัติได้ด้วย
  • พาสนี้ใช้ได้ 5 วันต่อเนื่อง (นับจากเที่ยงคืนวันแรก ถึง เที่ยงคืนวันสุดท้าย).
  • เฉพาะนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเท่านั้น
  • * รถไฟที่ระบุดังต่อไปนี้เป็นรถไฟที่ไม่สามารถใช้บริการได้
    • – รถไฟหัวกระสุน “SANYO SHINKANSEN” (Mihara ⇔ Shin-Osaka)
    • – รถไฟหัวกระสุน “TOKAIDO SHINKANSEN” (Shin-Osaka ⇔ Tokyo)
    • – รถไฟหัวกระสุน “KYUSHU SHINKANSEN” (Hakata ⇔ Kagoshima-Chuo)

พิเศษ! สามารถยืมจักรยานได้ฟรี!

สถานที่ซื้อและแลกตั๋ว Exchange Voucher

03

>> สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บริษัท เจแปน ออล พาส จำกัด ( Japan All Pass Co.Ltd. )

โทร. 02-514-7473 (วันจันทร์-เสาร์ เวลา 09.00-18.00 น.)
หรือติดต่อฝ่ายขายโดยตรงได้ที่ LINE : https://lin.ee/jKISGty

กรกฏาน่าเที่ยว ชมศิลปะบนนาข้าว Tanbo Art เมือง Asahikawa, Hokkaido

ทุ่งนาหรือทุ่งข้าว ปกติแล้วก็จะมีสีเขียวเรียงรายพลิ้วไสวไปตามสายลม สวยงามในแบบธรรมชาติ ในช่วงเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้ ที่นี่ถูกสร้างสรรค์ผลงานสวยๆ ขึ้นโดยกลุ่มเกษตรกรในเมือง Asahikawa เกิดเป็นงานศิลปะบนทุ่งนา จากการปลูกข้าวหลากหลายสายพันธุ์ สลับสีให้เป็นลวดลายต่างๆ ใครมาเที่ยวฮอกไกโด (Hokkaido) สามารถมาชมศิลปะบนนาข้าว Tanbo Art ที่เมือง Asahikawa ฮอกไกโดกันได้นะคะ ที่นี่จะได้สัมผัสกับทุ่งข้าวสวยๆ ที่มีลวดลายต่างๆ หรือจะเรียกว่า Rice Art ก็ได้ค่ะ

ทุ่งข้าว (1)

ทุ่งข้าว (2)

ทุ่งข้าว (3)

สุดยอดไปเลย ทำได้ยังไงกันเนี่ย!! เห็นแบบนี้แล้วถึงกับอึ้งเลยล่ะค่ะ ศิลปะบนทุ่งข้าว Tanbo Art ที่เมือง Asahikawa จากนาข้าวเขียวๆ ก็ทำให้เป็นลวดลายสวยๆ แบบนี้ได้ ดูแล้วสดชื่นเบิกบานหัวใจจริงๆ และในทุกปีที่เมือง Asahikawa จะมี Rice Art ศิลปะบนทุ่งข้าว โดยมีการปลูกข้าวในทุ่งนาทำเป็นลวดลายต่างๆ โดยใช้ข้าวหลากหลายสีในการปลูก มีการปักข้าวแบบต้นต่อต้นสลับสีไปมา จนกลายเป็นลวดลายสวยงามอย่างที่เห็น ถ้าเพื่อนๆ อยากมาเที่ยวชมบรรยากาศทุ่งข้าวลวดลายสวยงามเหล่านี้ แนะนำช่วงกลางเดือนกรกฎาคมถึงกลางเดือนสิงหาคมของทุกปี ซึ่งในแต่ละปีจะมีลวดลายไม่เหมือนกันค่ะ

ทุ่งข้าว (4)

ทุ่งข้าว (5)

ทุ่งข้าวนี้อยู่ไม่ไกลจากตัวเมือง Asahikawa มากนัก แต่ต้องขับรถไปชมค่ะ สำหรับการเดินทางในญี่ปุ่นเพื่อนๆ สามารถใช้ JR Pass เที่ยวได้ตั้งแต่เหนือจรดใต้ในญี่ปุ่นแบบไม่จำกัด หรือถ้าตั้งใจมาเจาะเที่ยวเฉพาะฮอกไกโด (Hokkaido) ล่ะก็ ใช้เป็นพาส JR Hokkaido เที่ยวได้แบบไม่ยั้งทั่วฮอกไกโดก็ได้ค่ะ ใครมาเที่ยวฮอกไกโดแวะไปชมกันได้นะคะ เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวแนะนำของเมือง Asahikawa ค่ะ
Google map : 43.62869,142.003934..
Map code : 79 710 650

>> สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บริษัท เจแปน ออล พาส จำกัด ( Japan All Pass Co.Ltd. )

โทร. 02-514-7473 (วันจันทร์-เสาร์ เวลา 09.00-18.00 น.)
หรือติดต่อฝ่ายขายโดยตรงได้ที่ LINE : https://lin.ee/jKISGty

ฤดูใบไม้เปลี่ยนสี (Autumn Season) ฤดูแห่งสีสันธรรมชาติ

การท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่น นอกจากจะขึ้นชื่อเรื่องของการเที่ยวชมดอกซากุระแล้ว ยังมีอีกเรื่องที่ขึ้นขื่อคือการเที่ยวชมธรรมชาติใน “ช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี(Autumn)
อีกไม่กี่เดือนนับจากนี้ ก็จะเข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี หรือ ฤดูใบไม้แดง ที่ประเทศญี่ปุ่นแล้ว แต่เพื่อนๆ ทราบไหมว่า ฤดูนี้จะอยู่ในช่วงระหว่างเดือน กันยายน – พฤศจิกายน ของทุกปี ใบไม้จะค่อยๆ เริ่มเปลี่ยนจากสีเขียว เปลี่ยนเป็นสีเหลือง เป็นสีส้ม และแดง แล้วก็จะค่อยๆ ร่วงโรยจากต้น

_MG_9581
ฤดูนี้เป็นช่วงที่น่าท่องเที่ยวอีกฤดูหนึ่ง ที่เพื่อนๆ จะได้ชมกับความงามของสีใบไม้ในแต่ละภูมิภาค และในแต่ละภูมิภาค ช่วงเปลี่ยนสี ก็จะแตกต่างกัน เริ่มจากช่วงภูมิภาคตอนบนของประเทศ ไล่ลงมาทางตอนใต้

หลายๆ คน คงจะคิดว่า ใบไม้เปลี่ยนสีนั้น มักจะเกิดขึ้นเฉพาะกับบริเวณที่เป็นภูเขา แต่ในความเป็นจริงแล้ว ใบไม้เปลี่ยนสี ยังสามารถพบได้ในเมืองอีกด้วย สถานที่สวยๆ ที่ขึ้นชื่อเรื่องใบไม้เปลี่ยนสีก็มีอยู่หลายแห่ง อาทิเช่น

นิกโก้ (ภูมิภาคคันโต) ช่วงเวลา : ปลายเดือนตุลาคม – ต้นเดือนพฤศจิกายน
นิกโก้ (ภูมิภาคคันโต) ช่วงเวลา : ปลายเดือนตุลาคม – ต้นเดือนพฤศจิกายน

อาราชิยาม่า (ภูมิภาคคันไซ) ช่วงเวลา : กลางเดือนพฤศจิกายน – ปลายเดือนพฤศจิกายน
อาราชิยาม่า (ภูมิภาคคันไซ) ช่วงเวลา : กลางเดือนพฤศจิกายน – ปลายเดือนพฤศจิกายน

โทวาดะ (ภูมิภาคโทโฮขุ) ช่วงเวลา : กลางเดือนตุลาคม – ปลายเดือนตุลาคม
โทวาดะ (ภูมิภาคโทโฮขุ) ช่วงเวลา : กลางเดือนตุลาคม – ปลายเดือนตุลาคม

โตเกียว (ภูมิภาคคันโต) ช่วงเวลา : กลางเดือนพฤศจิกายน - ปลายเดือนพฤศจิกายน
โตเกียว (ภูมิภาคคันโต) ช่วงเวลา : กลางเดือนพฤศจิกายน – ปลายเดือนพฤศจิกายน

*** แต่ละที่ แต่ละช่วง อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศในแต่ละปีด้วยนะคะ ***

ก่อนจะเดินทางไปชมความงามของฤดูใบไม้เปลี่ยนสี แอดมินแนะนำให้ศึกษาข้อมูลการเดินทาง และช่วงของใบไม้ที่จะเปลี่ยนสีในแต่ละภูมิภาคด้วยนะคะ เพื่อที่เพื่อนๆ จะได้เดินทางไปไม่เสียเที่ยว ได้ภาพสวยๆกลับมาอวดเพื่อน และขอให้สนุกกับการเดินทางค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก JNTO

>> สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บริษัท เจแปน ออล พาส จำกัด ( Japan All Pass Co.Ltd. )

โทร. 02-514-7473 (วันจันทร์-เสาร์ เวลา 09.00-18.00 น.) สายด่วน 08-2828-9933 / 08-2828-9944 / 08-2828-9988

ID LINE : @japanallpass
หรือช่องทาง Inbox >>
📱สำหรับโทรศัพท์มือถือ คลิก m.me/japanallpass
💻สำหรับ Computer PC คลิก https://goo.gl/QhNgSN
หรือ [email protected]