Dogo Onsen Ehime ออนเซ็นที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 3,000 ปี

Dogo Onsen Ehime ถือได้ว่าเป็นออนเซ็นที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 3,000 ปี ตั้งอยู่ในจังหวัดเอะฮิเมะ (Ehime) อยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองมัตสึยะมะ (Matsuyama) บนเกาะชิโกกุ (Shikoku) ประเทศญี่ปุ่น (Japan) ถูกสร้างขึ้นในตั้งแต่ปี พ.ศ. 2437 โดยที่นี่เป็นโรงอาบน้ำสาธารณะที่มีอายุมากกว่า 120 ปี เป็นหนึ่งในออนเซ็นที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดของประเทศญี่ปุ่น ได้รับการกำหนดให้เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมชิ้นสำคัญของญี่ปุ่น อาคารมีการออกแบบอย่างสวยงามและโดดเด่น ซึ่งก่อสร้างด้วยไม้ 3 ชั้น แบ่งเป็นโซนต่างๆ และเปิดให้บุคคลภายนอกเข้าไปแช่น้ำผ่อนคลายด้านใน รวมถึงยังมีร้านค้าไว้ให้บริการอีกมากมาย

โดโกะออนเซ็น (Dogo Onsen) ตัวอาคารถูกออกแบบให้เต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของอารยธรรมญี่ปุ่นแบบโบราณ มีการเน้นลวดลายรูปนกกระยาง ที่มีปรากฏให้เห็นอยู่ทั่วไป แม้แต่บนหลังคาก็มีรูปปั้นนกกระยางตั้งอยู่ด้วยเช่นกัน ตามตำนานญี่ปุ่นเชื่อกันว่า นกกระยางที่ได้รับบาดเจ็บบินลงมาแช่ออนเซ็นที่นี่ หลังจากแช่ออนเซ็นแล้วทำให้อาการบาดเจ็บหายไป ชาวบ้านเห็นนกกระยางมาแช่ออนเซ็นที่นี่แล้วหายเจ็บป่วย จึงได้เดินทางมาแช่ออนเซ็นกันบ้าง จากนั้นจึงได้สร้างโดโกะออนเซ็นแห่งนี้ขึ้นมา และได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในหมู่นักแช่ออนเซ็นจนถึงปัจจุบัน

นอกจากโรงอาบน้ำ Dogo Onsen Ehime แล้ว ยังมีโรงอาบน้ำสาธารณะอื่นๆ ที่ตอบสนองความต้องการที่หลากหลายอีกด้วย ที่นี่ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจมากมาย ทั้งสวนสาธารณะ วัด และศาลเจ้า เพื่อรอให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาสัมผัสบรรยากาศพร้อมเปิดประสบการณ์ใหม่ ของวัฒนธรรมแบบญี่ปุ่นสมัยก่อนที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานอีกด้วย

ที่ Dogo Onsen Ehime มีห้องพักที่ถูกออกแบบและตกแต่งอย่างมีสไตล์ ภายในอาคารมีทั้งหมด 3 ชั้น แบ่งเป็นโซนต่างๆ โดยชั้น 1 จะเป็นโรงอาบน้ำสาธารณะและแหล่งร้านค้า ชั้น 2 จะเป็นห้อง ยูชินเดน เป็นห้องที่จักรพรรดิในสมัยก่อนเคยมาแช่ออนเซ็น ห้องนี้ถูกใช้ในปี 1899 – 1952 กำแพงห้องจะตกแต่งด้วยทอง และมีเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ที่อนุรักษ์ไว้ นอกจากนี้ยังมีบ่อแช่ออนเซ็นของราชวงศ์ในสมัยนั้นด้วย ภายในยังเก็บอนุรักษ์ไว้ให้คนรุ่นหลังได้ชม และชั้น 3 จะเป็นห้องรวมที่ใช้สำหรับพักผ่อน หลังจากที่แช่ออนเซ็นเสร็จเรียบร้อย


ข้อมูลเพิ่มเติม:
ที่อยู่: 1 Chome-7 Dogomachi, Matsuyama-shi, Ehime-ken 790-0843, Japan
วิธีเดินทาง: นั่งรถไฟสาย Iyotetsu jonan line ลงสถานี Dogo onsen เดินประมาณ 3 นาที
เวลาทำการ: 06.00 – 23.00 น.
ราคา: 410 เยน – 1,550 เยน (ค่าเข้าตามสิ่งอำนวยความสะดวกในแต่ละระดับ)
ดูรายละเอียดเพิ่มเติม: www.dogo.or.jp

ล่องเรือในแม่น้ำโมกามิ Mogami River Boat Ride Yamagata

Mogami River Boat Ride Yamagata การล่องเรือชมวิวทิวทัศน์ในแม่น้ำโมกามิ ตั้งอยู่ที่ จังหวัดยามากาตะ (Yamagata) ที่นี่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก เนื่องด้วยบรรยากาศของทิวทัศน์ที่มีความแปลกตา โอบล้อมด้วยความงามแถบชนบทของประเทศญี่ปุ่น มีต้นไม้และภูเขาขนาบข้างตลอดข้างทาง ยิ่งถ้าช่วงฤดูหนาวจะมีหิมะปกคลุมไปทั่ว ให้บรรยากาศราวกับอยู่ในดินแดนแห่งความฝัน แต่ช่วงฤดูกาลอื่นก็สวยงามไม่แพ้กัน เมื่อเข้าถึงช่วงฤดูใบไม้ผลิ นักท่องเที่ยวจะได้ชื่นชมความสวยงามของดอกซากุระ ที่ขึ้นเต็มข้างทางสร้างความน่าหลงใหลเลยทีเดียว และช่วงฤดูใบไม้ร่วง นักท่องเที่ยวจะได้เห็นความสวยงามของใบไม้เปลี่ยนสี ที่มีความสวยงามตระการตาเหมือนดั่งภาพวาด ที่นี่ถูกจัดให้อยู่ในอันดับ 3 ที่มีแม่น้ำไหลเชี่ยวที่สุดในประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย

แม่น้ำโมกามิ (Mogami) นับได้ว่าเป็นหนึ่งในสามแม่น้ำหลักของประเทศญี่ปุ่น ที่ใช้สำหรับในการขนส่งสินค้าทางเรือจากทางภาคเหนือของญี่ปุ่นไปยังเกียวโตตั้งแต่ในสมัยเอโดะ การล่องเรือนั้นเริ่มจากหมู่บ้าน Tozawa ซึ่งเป็นจุดสำคัญของการขนส่งทางแม่น้ำ นักท่องเที่ยวจะได้ล่องเรือไปตามแม่น้ำ Mogami ข้ามจังหวัดยามะงาตะ โดยเรือจะเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ พร้อมชื่นชมบรรยากาศโดยรอบอย่างสนุกๆ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง พร้อมทั้งเติมเต็มการเดินทางให้สมบูรณ์ด้วยคนเรือร้องเพลงลำน้ำแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น

แม่น้ำแห่งนี้เป็นที่รู้จักมากขึ้นจากบทกลอน “แม่น้ำโมะกะมิ สั่งสมฝนเดือนห้า แสนเชี่ยวกราก” ของนักกวี มัตสึโอะ บะโช บะโช ได้แต่งกลอนนี้ขึ้นจากประสบการณ์ขณะที่ได้ล่องเรือผ่านแม่น้ำที่เชี่ยวกรากแห่งนี้ ในความหมายของบทกลอนนั้น ได้บรรยายถึงสภาพอันน่าตื่นตะลึง ในช่วงฤดูฝนที่ได้ล่องเรือขณะฝนตกหนักลงในแม่น้ำโมะกะมิ จนทำให้ในแม่น้ำเกิดน้ำไหลเชี่ยวกรากอย่างรุนแรง

สำหรับในช่วงฤดูหนาวการล่องเรือ Kotatsu ของที่นี่ ด้านในเรือจะมีบริการโต๊ะ Kotatsu ที่ให้ความร้อน เพื่อให้นักท่องเที่ยวรู้สึกอบอุ่นในขณะที่นั่งเรือ การนั่ง Kotatsu เป็นประเพณีที่ชาวญี่ปุ่นชื่นชอบมาก ซึ่งเป็นโต๊ะขนาดใหญ่มีเครื่องทำความร้อนติดอยู่ด้านล่าง คนญี่ปุ่นจำนวนมากนิยมใช้ เป็นวิธีที่สะดวกในการรักษาอุณหภูมิความอบอุ่นในช่วงที่อากาศเย็น

นอกจาก “เรือ Kotatsu” แล้ว ที่นี่ยังมีบริการ “เรือ Goza” ความโดดเด่นของเรือลำนี้จะมีการปูพรมด้านล่างของเรือ ที่ทำจากพืชสาน รวมถึง “เรือเสื่อทาทามิ” ที่มีแผ่นเสื่อทาทามิปูที่ด้านล่างของเรือ ไม่ว่าจะเป็นเรือประเภทใดนักท่องเที่ยวจะต้องนั่งบนพื้น และในขณะที่อยู่บนเรือต้องถอดรองเท้า แต่ถ้านักท่องเที่ยวคนไหนไม่ต้องการจะถอดรองเท้า ก็จะมีบริการให้นั่งเรือแบบโดยสาร ซึ่งเรือแบบนี้จะมีเก้าอี้บริการและเหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบนั่งบนพื้นอีกด้วย

อัตราค่าบริการเที่ยวเดียว:
– ผู้ใหญ่ (มัธยมต้นขึ้นไป) 2,450 เยน
– เด็ก (ประถมและต่ำกว่า) 1,230 เยน

อัตราค่าบริการไปกลับ:
– ผู้ใหญ่ (มัธยมต้นขึ้นไป) 3,340 เยน
– เด็ก (ประถมและต่ำกว่า) 1,670 เยน

เวลาทำการ:
– เดือนเมษายน – เดือนพฤศจิกายน เวลา 8.30 – 17.00 น.
– เดือนธันวาคม – เดือนมีนาคม เวลา 9.00 – 16.30 น.

การเดินทาง:
จากรถไฟสาย JR East Japan Rikuu West ไปยังสถานี Furukuchi แล้วเดินต่ออีก 5 นาที ก็จะถึงท่าเรือ

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม: https://www.blf.co.jp/index.html

Oyasu Hot Springs Akita จุดชมใบไม้เปลี่ยนสีและบ่อน้ำพุร้อนอายุกว่าพันปี

Oyasu Hot Springs Akita ถือเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีและมีบ่อน้ำพุร้อนอายุกว่าพันปี ตั้งอยู่ในหุบเขาลึกที่เมืองยูซาวะ (Yuzawa) เมืองทางตอนใต้สุดจังหวัดอาคิตะ (Akita) ประเทศญี่ปุ่น (Japan) ที่ “หุบเขาโอยาสุ” แห่งนี้เกิดจากการกัดเซาะของแม่น้ำมินาเสะที่ไหลผ่านหุบเขาเป็นรูปตัววี ระยะเวลายาวนานหลายพันปี ในส่วนของ Oyasu Onsen กล่าวกันว่า เป็นออนเซ็นอันเก่าแก่ที่ได้รับการก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่สมัยเอโดะตอนต้น มีน้ำพุร้อนทางธรรมชาติ ที่ร้อนถึง 98 องศา ด้วยความร้อนของน้ำพุแห่งนี้ ทำให้เกิดไอน้ำพุ่งลอยอยู่เหนือพื้นผิวจากรอยแยกของพื้นดินเบื้องล่าง ทำให้เกิดภาพบรรยากาศที่น่าอัศจรรย์และสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก

หุบเขาโอยาสุ (Oyasu Valley) เป็นแหล่งน้ำพุร้อนทางธรรมชาติที่ไม่ค่อยได้รับการพูดถึงสักเท่าไหร่ แต่เป็นที่รู้จักในหมู่ของคนท้องถิ่นมากกว่า ที่ Oyasu Hot Springs Akita มีเส้นทางเดินลงสู่หุบเขาที่ยาวประมาณ 60 เมตร นอกจากนี้ ที่นี่มีบริการออนเซ็นและบ่อแช่เท้าสาธารณะอยู่หลายแห่ง พื้นที่โดยรอบของแถบนี้ มีการเกิดรอยแตกจากความร้อนที่สะสมในชั้นใต้ดิน ทำให้เกิดลักษณะรูปแบบที่แปลกตา และที่นี่ถือได้ว่าเป็นสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีชื่อดังของอาคิตะ ที่เมื่อถึงช่วงฤดูใบไม้ร่วงทีไร ทั้งสองฝั่งข้างทางจะเต็มไปด้วยใบไม้เปลี่ยนสีจากสีแดงเป็นสีเหลืองสดใส ให้ความรู้สึกเสมือนภาพวาดเลยทีเดียว

นอกจากความสวยงามของฤดูใบไม้ผลิแล้ว ในช่วงฤดูหนาวนักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับแท่งน้ำแข็งที่งอกและไหลย้อยขนาดใหญ่ทอดยาวลงมาจากหุบเขา และสำหรับอีกจุดหนึ่งที่นักท่องเที่ยวพลาดไม่ได้เลยก็คือ “น้ำตก” นักท่องเที่ยวสามารถเดินลงไปตามทางประมาณ 200 เมตร อยู่ตรงช่องเขาตอนบนของแม่น้ำมินาเสะ (Minase River) ความลึกของช่องเขามากกว่า 50 เมตร แต่ความกว้างประมาณ 10 เมตร รวมถึงสะพานสีแดงด้านบน (Kawarayu Bridge) ก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่ได้รับความนิยมในการถ่ายภาพจากนักท่องเที่ยว

การเดินทาง:

  • โดยรถยนต์ จาก Yuzawa IC บนถนน Yuzawa-Yokote ผ่านทางหลวงหมายเลข 398 ใช้เวลาประมาณ 40 นาที มีบริการที่จอดรถฟรี
  • โดยรถบัส จากหน้าสถานี JR Yuzawa ขึ้นรถบัส Ugo Kotsu สาย Yuzawa-Oyasu ลงที่ Oyasu Onsen ใช้เวลาประมาณ 55 นาที
  • โดยรถไฟ สาย Ou Line ลงที่สถานี Yuzawa Line ต่อรถบัส Ugo Kotsu ด้านหน้าสถานีรถไฟไปลงที่หุบเขา ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
    ช่วงที่เหมาะสม: กลางเดือนตุลาคม – ต้นเดือนพฤศจิกายน (ช่วงใบไม้เปลี่ยนสี)

Sakura Farm Wakayama เก็บสตรอว์เบอร์รี่สดจากฟาร์มแบบออแกนิค

Sakura Farm Wakayama อีกหนึ่งประสบการณ์ของคนรักสตรอว์เบอร์รี่ ที่ต้องเดินทางมาลิ้มลองรสชาติสักครั้ง สำหรับที่จังหวัด วาคายามะ (Wakayama) ซากุระ ฟาร์ม (Sakura Farm) ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งฟาร์ม ที่มีชื่อเสียงทางด้านการปลูกสตรอว์เบอร์รี่สดๆ หลากหลายพันธุ์ แถมยังมีรสชาติที่หวาน สด กรอบ ไร้สารพิษ ทำให้นักท่องเที่ยวต่างแวะเวียนเดินทางเข้ามาที่ฟาร์มแห่งนี้ในแต่ละปีเป็นจำนวนมาก

Sakura Farm Wakayama (ซากุระ ฟาร์ม) ที่นี่คุณสามารถเก็บสตรอว์เบอร์รี่ทานแบบสดๆ ได้เลย เนื่องจากทางฟาร์มแห่งนี้มีการเพาะปลูกสตรอว์เบอร์รี่ด้วยวิธีแบบออแกนิค ทำให้นักท่องเที่ยวสบายใจได้ว่า “เมื่อเด็ดสตรอว์เบอร์รี่ปุ๊ป ก็สามารถนำเข้าปากได้ปั๊บ” ท่านสามารถเพลิดเพลินกับการเก็บและชิมรสชาติสตรอว์เบอร์รี่หลากหลายสายพันธุ์แบบไม่อั้น (ในเวลาจำกัด 30 นาที) แต่เก็บทานได้เฉพาะภายในฟาร์มเท่านั้น ไม่สามารถนำกลับไปได้นะคะ

สำหรับที่ Sakura Farm Wakayama แห่งนี้มีสตรอว์เบอร์รี่พันธุ์ท้องถิ่น ที่มีปลูกแค่ Wakayama ที่เดียวอยู่ 2 สายพันธุ์ คือ มาริฮิเมะ และคิโนะกะ สำหรับนักท่องเที่ยวคนไหนที่สนใจอยากแวะมาที่ฟาร์มแห่งนี้ ที่นี่เค้าเปิดให้บริการเก็บสตรอว์เบอร์รี่ประมาณกลางเดือนมกราคม-กลางเดือนพฤษภาคม ช่วงเวลา : 11:00-15:00 น.

อัตราค่าบริการ : เข้าสวนเก็บทานแบบไม่อั้น 30 นาที
ผู้ใหญ่ (นักเรียนมัธยมต้นขึ้นไป) 2,000 เยน
เด็ก (นักเรียนชั้นประถมศึกษา) 1,500 เยน
เด็กเล็ก (3 ปีขึ้นไป) 1,000 เยน
เด็กเล็ก (1 และ 2 ปี) 500 เยน
เด็กทารก (ต่ำกว่า 1 ปี) ฟรี

สำหรับข้อมูลการเดินทางมายัง Sakura Farm Wakayama
ทางรถไฟ : อยู่สถานี Kanroji-mae Station ก่อนถึงสถานีแมว Tama 1 สถานี (Kishi Station) และเดินจากสถานีไปประมาณ 10 นาที
ทางรถ : จาก Sennan IC ระยะทางประมาณ 20 กม. ใช้เวลาประมาณ 35 นาที /และจาก Wakayama IC ระยะทางประมาณ 13 กม. ใช้เวลาประมาณ 25 นาที
ที่จอดรถ : มีที่จอดรถบริการฟรี สามารถจอดได้ 12 คัน

การติดต่อ : มือถือ 090-3485-7518, FAX 0736-79-6655
ดูรายละเอียดเพิ่มเติม : http://www7.plala.or.jp/sakura_farm/index.html

นักเดินทางต้องรู้…ห้ามนำสิ่งนี้เข้าญี่ปุ่น

“ รู้ไหมว่า นอกจากอาวุธ ยาเสพติด และสิ่งที่ผิดกฎหมายแล้ว ญี่ปุ่นยังห้ามนำเข้าสิ่งที่เราคาดไม่ถึงด้วยนะ !! ”

สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งกางปีกบินไปต่างประเทศครั้งแรก คงมันมืออยากจะหยิบของทุกอย่างที่คิดว่าจำเป็นต้องใช้ยัดเข้ากระเป๋าเดินทาง โดยไม่ได้รู้สึกเอะใจว่าของทั้งหมดนั้นมันสามารถขนเข้าญี่ปุ่นได้จริง ๆ หรือเปล่า เพราะของบางอย่างก็สุดแสนจะธรรมดาจนมองไม่เห็นอันตรายอะไร แต่กลับกลายเป็นของต้องห้ามไปเสียได้ แม้แต่คนที่ช่ำชองในเรื่องการเดินทางก็อาจจะพลาดได้เหมือนกัน

ซึ่งมาตรการนี้ ทางสนามบินญี่ปุ่นได้ยกระดับความเข้มงวดขึ้นเพื่อป้องกันปัญหาที่จะตามมา…อย่างว่าล่ะ เขาเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องวินัยและความเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่แล้ว…เราเองก็ต้องศึกษาให้ดีไม่อย่างนั้นอาจจะมีโทษตามมาได้ ใครชอบแบบไหนก็เลือกเอา..แบบพอแค่เสียความรู้สึก คือโดนยึดของ หรือแบบเสียเงินจากการโดนปรับ หรือเสียแผนการทุกอย่างที่ทำมาเมื่อโดนจับ
……แล้วตกลงมันคืออะไรล่ะ ? ของที่ว่านี้

1. เนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์แปรรูปจากสัตว์ ,น้ำนมดิบ

หากใครคิดที่จะพกไส้กรอก ,กุนเชียง ,แหนม ,แฮม ,หมูยอ ,หมูหยอง ไปต้มกินรองท้องกับบะหมี่ที่โรมแรมเพื่อต้องการประหยัดเงินแล้วล่ะก็..ลืมไปได้เลย ! ยิ่งถ้าขนไปเยอะ ๆ เพื่อเป็นของฝาก ยิ่งสุ่มเสี่ยงต่อการโดนจับ เหตุที่ทางสนามบินญี่ปุ่นต้องตรวจเข้มงวดแบบนี้ก็เพราะป้องกันโรคที่อาจจะแพร่ได้ หากเราต้องการนำเข้าจริง ๆ ก็ต้องมีเอกสารรับรองการตรวจจากประเทศต้นทางเสียก่อน แม้แต่ในส่วนของคุณแม่ที่ปั๊มน้ำนมไว้ให้ลูก ก็ต้องมีสิ่งยืนยันได้เหมือนกัน

2. ผักและผลไม้บางชนิด

เป็นใครก็คงอดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมเราถึงนำผลไม้เข้าไปในประเทศญี่ปุ่นไม่ได้ จริง ๆ แล้วการจะนำผลไม้เข้าไปนั้นจะต้องมีใบรับรองที่ผ่านกระบวนการนำเข้าอย่างถูกกฏหมาย การที่เรานำเข้าไปเองโดยไม่มีใบรับรองนั้นถือว่ามีความผิด ซึ่งผักผลไม้ที่อยู่ในรายชื่อห้ามนำเข้า เช่น กล้วย ส้ม มะเขือเทศ พริกสด ฝรั่ง ลิ้นจี่ มังคุด แก้วมังกร มะม่วง… ***ยกเว้น ผัก ผลไม้ที่แปรรูปด้วยการหมักดอง ( ผักผลไม้ที่แช่อยู่ในแอลกอฮอล์ กรดอะซิติก นํ้าตาล และอื่นๆ ) ที่มีตราสินค้าและได้รับการรับรองมาตรฐาน มีบรรจุภัณฑ์แน่นหนา

3. ยาบางชนิด

ยาที่ห้ามนำเข้าญี่ปุ่น ได้แก่ ยาที่มีส่วนผสมของสารซูโดอีเฟดรีน หรือสารไดเฟนอกไซเลต หรือเป็นยาที่ทางการญี่ปุ่นไม่รับรองการพกพาเข้าไป ซึ่งที่ระบุไว้มี 11 ชนิด ด้วยกัน คือ TYLENOL COLD , NYQUIL , NYQUIL LIQUICAPS , ACTIFED , SUDAFED , ADVIL COLD & SINUS , DRISTAN COLD/ “NO DROWSINESS” , DRISTAN SINUS , DRIXORAL SINUS , VICKS INHALER และ LOMOTIL

นอกจากชนิดและส่วนผสมของยาแล้ว ปริมาณที่นำเข้าไปก็มีส่วนสำคัญเหมือนกัน หากมีจำนวนมากเกินความจำเป็นที่จะต้องใช้ อาจเกิดข้อสงสัยกับทางเจ้าหน้าที่ได้ ฉะนั้นจึงควรพกไปในปริมาณที่เหมาะสม ส่วนยารักษาโรคเฉพาะทางจะต้องมีเอกสารใบรับรองจากแพทย์ระบุรายละเอียดของยาเป็นภาษาอังกฤษอย่างชัดเจน

No drugs allowed. Drugs, marijuana leaf with forbidden sign – no drug. Drugs icon in prohibition red circle. Anti drugs. Just say no. Isolated vector illustration on white background.

4. แมลง

เป็นมาตรการป้องกันด้านสิ่งแวดล้อมและปัญหาที่จะเกิดกับเกษรกรญี่ปุ่น เนื่องจากแมลงที่นำเข้าอาจจะเกิดการเพิ่มจำนวน รวมถึงเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อโรคที่อาจจะสร้างความเสียหายต่อพืชผลทางการเกษตรได้ ฉะนั้นทางการญี่ปุ่นจึงมีคำสั่งห้ามนำเข้าหากยังไม่ได้รับการอนุญาติ

5. ดิน ,พืชที่มีดินติดอยู่ ,แกลบ และฟางข้าว

เป็นเหตุผลทางด้านการป้องเชื้อโรคและแมลงศัตรูพืชที่อาจติดมาด้วย ในที่นี้ยังรวมถึงนำเข้าในลักษณะอื่น ๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ เช่น เป็นส่วนหนึ่งของอุปกรณ์ เครื่องใช้ ต่าง ๆ…ดังนั้นเราควรระมัดระวังและตรวจสอบให้ดี

6. เงินสดที่มากเกินไป

มันน่าสงสัยเป็นอย่างมากว่าการนำเงินไปจับจ่ายใช้สอยเพิ่มรายได้ให้กับชาวญี่ปุ่นมันไม่ดีตรงใหน ? …คำตอบคือ ดี…จริง ๆ แล้วไม่ได้ผิดกฎหมายหรือมีข้อห้ามอะไรขนาดนั้น เพียงแต่ว่าการพกเงินสดติดตัวเยาะจนเกินไป ในที่นี้คือมากถึง 100 เยน (รวมถึงทองคำ ทองรูปพรรณที่มีน้ำหนัก 1 กก.ด้วย ) มันสุ่มเสี่ยงว่าเราอาจนำเงินเข้าไปทำสิ่งที่ผิดกฎหมายหรือเกี่นวกับการฟอกเงินได้ ซึ่งจะทำให้เราต้องเสียเวลาตอบคำถามและแจกแจงรายละเอียดการนำเงินไปใช้ให้เจ้าหน้าที่ฟัง

…ดังนั้นควรเตรียมเงินไปใช้อย่างเหมาะสมเท่าที่จำเป็น หรือหากคิดว่ามีรายการใช้เงินจำนวนมาก แนะนำให้พกบัตรเครดิต หรือ Travel card จะสะดวกกว่า

7. สิ่งของที่ไม่มีใบอนุญาติในการนำเข้า

มีของบางอย่างที่ญี่ปุ่นกำหนดเป็นกรณีพิเศษว่า หากจะนำเข้าประเทศต้องมีใบอนุญาติก่อน ได้แก่ ของจำพวกผลไม้ เช่น ทุเรียน สับปะรด จำพวกผักแห้ง เช่น พริกแห้ง ถั่ว รวมถึงเมล็ดพันธ์ต่าง ๆ

8. สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์

ใครที่รักการแต่งตัวด้วยสินค้าแบรนด์เนม ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า แล้วล่ะก็ ต้องทำใจล่วงหน้าไว้เลยว่ายังไงก็ต้องถูกตรวจสอบแน่นอน เพราะญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องความเข้มงวดเกี่ยวกับสินค้าลิขสิทธิ์อยู่แล้ว ใครคิดที่จะเข้าไปเฉิดฉายกลางกรุงโตเกียวด้วยของแบรนดเนมที่เป็นของปลอมอาจจะต้องถูกยึดและถูกดำเนินคดีได้….ในที่นี้ยังรวมถึงของใช้ที่เป็นรูปตัวการ์ตูนที่มีลิขสิทธิ์ด้วย
…ถึงแม้สินค้าลิขสิทธิ์จะตรวจสอบยาก บางคนอาจโชคดีที่ผ่านด่านเจ้าหน้ามาได้ แต่ยังไงเราก็ควรป้องกันไว้ก่อนจะดีกว่า

9. หนังสือ หนังดีวีดี และสื่อ แนว 18+ ที่เกี่ยวกับเด็ก

หนังสือ หนังดีวีดี และสื่อ ต่าง ๆ ที่มีเนื้อหาเน้นความรุนแรง ,ส่อไปในทางลามก โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับเด็กและเยาวชนจะถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวด

..สุดท้าย..…..อย่างที่เรา ๆ รู้กันว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เคร่งครัดเรื่องกฎระเบียบมาก อะไรที่เขาห้ามเราก็ควรหลีกเลี่ยง จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลา เสียความรู้สึก หนักขึ้นมาอีกหน่อยก็คือเสียเงิน แล้วยังอาจจะต้องถูกดำเนินคดีอีกด้วย ถ้าไม่อยากให้การไปเที่ยวของเราต้องหมดอรรถรสก็ระมัดระวังกันด้วยนะครับ

เอาตัวรอดยังไงเมื่อ “ พาสปอร์ตหาย ” ที่ญี่ปุ่น

อะไรนะ…พาสปอร์ตหาย ! มาเที่ยวญี่ปุ่นทั้งทีก็หวังว่าจะมีแต่ประสบการณ์สนุก เร้าใจ แต่ใครจะไปคิดว่าจะเร้าใจได้ขนาดนี้ อุตส่าห์วางแผนมาแรมปี แล้วอย่างนี้จะต้องรีบ…แพ็คกระเป๋ากลับบ้านเลยไหม ?…อยู่ต่อได้ไหม ?…จะโดนกักตัวไหม ?…จะต้องติดคุกไหม ?…….อย่าครับ อย่าเพิ่งตกใจ หากหนังสือเดินทางหรือพาสปอร์ตหาย มีทางออกแน่นอนครับ มาดูกันครับว่าเราควรรับมือกับสถานการณ์นี้ยังไงดี…

เอ๊ะ ! หายจริง ๆ เหรอ ?

เป็นเรื่องปกติถ้าหากเราหาของไม่เจอก็คงต้องรู้สึกกังวลและคิดว่ามันหายไปแล้วแน่ ๆ ก่อนอื่นเราต้องตั้งสติแล้วลองหาอีกครั้ง ทั้งในกระเป๋าเสื้อผ้า กระเป๋าสะพาย กระเป๋าเดินทาง ลิ้นชักโต๊ะ กองเสื้อผ้าในห้องพัก หรือสถานที่ที่เราเพิ่งไป พยายามนึกให้ได้ว่าที่สุดท้ายที่เราถือพาสปอร์ตคือที่ไหน บางทีมันอาจจะตกหล่นอยู่ใกล้ ๆ ตัวเราก็ได้


ตรงปรี่เข้าไปขอความช่วยเหลือ

ติดต่อผู้ดูแลหรือประชาสัมพันธ์ของสถานที่ที่เราคิดว่าทำหนังสือเดินทางหาย เช่น ตลาด ห้างสรรพสินค้า แผนก Lost and Found ของสถานีรถไฟ โดยให้เบอร์โทรติดต่อของโรงแรมที่เราพักอยู่ไว้ บางทีวิธีนี้อาจจะทำให้เราได้พาสปอร์ตกลับคืนมาไวกว่าที่คิดก็ได้

Lost and Found sign at the Airport

ตำรวจญี่ปุ่นใจดี พึ่งพาได้

เมื่อเรากระหืดกระหอบกับการหาพาสปอร์ต จนมั่นใจว่ายังไง ๆ ก็ไม่มีวันหาเจอได้เองแน่ ๆ ให้เดินทางไปสถานีตำรวจเลยครับ แล้วเข้าไปแจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่าหนังสือเดินทางหาย เขาจะให้เรากรอกใบรับแจ้งความที่มีชือเรียกว่า ” เคซัสซึโชเม ” เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการทำพาสปอร์ตชั่วคราว… ***กรณีที่เราไปแจ้งกับเจ้าหน้าที่ที่ป้อมตำรวจ เอกสารใบรับแจ้งไม่สามารถนำไปยื่นเรื่องทำพาสปอร์ตชั่วคราวได้นะครับ ทำได้เพียงให้เบอร์ติดต่อไว้เผื่อมีคนเก็บได้แล้วนำมาให้คืน

ทางออกสุดท้าย…ทำหนังสือเดินทางชั่วคราว

เมื่อจนปัญญา ทำยังไงก็หาไม่เจอ เราสามารถไปยื่นเรื่องเพื่อขอทำหนังสือเดินทางชั่วคราวได้ครับ สำหรับญี่ปุ่นมี 2 ที่ให้เลือก คือสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงโตเกียว และสถานกงสุลใหญ่ ณ นครโอซาก้า แต่ก่อนที่เราจะไปยื่นเรื่อง ต้องรู้ก่อนนะครับว่าทั้งสถานเอกอัครทูตไทยและสถานกงสุลใหญ่ เปิดทำการเฉพาะวันจันทร์ถึงศุกร์ หยุด วันเสาร์และอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 9:00-12:00 น. และ 13:30-15:00 น. ไม่อย่างนั้นจะไปเสียเที่ยวนะ

เอกสารที่ต้องใช้สำหรับยื่นเรื่อง มีอะไรบ้าง ?

1. ใบแจ้งความ (เคซัสซึโชเม) ที่ออกให้โดยสถานีตำรวจในท้องที่

2. สำเนาเอกสารแสดงตัวบุคคลของไทย เช่น สำเนาหนังสือเดินทาง สำเนาบัตรประชาชนไทย สำเนาทะเบียนบ้านไทย *** เอามาจากไหน ? แน่นอนครับว่าเราควรเตรียมเอกสารที่ราชการออกให้สำรองเก็บไว้ทุกครั้งก่อนเดินทางไปต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบเอกสารหรือสแกนไฟล์เก็บไว้ เช่น Flash Drive , SD Card หรือเก็บไว้ใน Could ส่วนตัวที่สามารถเปิดจาก Internet ได้ทั่วโลก

3. รูปถ่ายสี ขนาด 4×4 ซ.ม. จำนวน 3 รูป หน้าตรง ไม่ใส่แว่นกันแดดและหมวก ซึ่งเราสามารถถ่ายได้ตามตู้ถ่ายรูปที่อยู่บริเวณสถานีรถไฟทั่วไป หรือบริเวณใกล้ๆ โซนตู้กดสินค้า หรือในร้านสะดวกซื้อ ที่สำคัญคือต้องเห็นใบหน้าชัดเจน

ที่ตั้ง….

1. สถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงโตเกียว (Royal Thai Embassy ,Tokyo)
ที่ตั้ง 3-14-6 Kami-Osaki, Shinagawa-ku, Tokyo 141-0021…อยู่ใกล้สถานีรถไฟเมกุโระ ประมาณ 170 เมตร

2. สถานกงสุลใหญ่ ณ นครโอซาก้า (Royal Thai Consulate-General)
ที่ตั้ง Bangkok Bank Building-4th floor, 1-9-16 Kyutaro-machi, Chuo-ku, Osaka 541-0056… อยู่ใกล้สถานีซาไคสุจิ-ฮมมาจิ ประมาณ 100 เมตร

เปลี่ยนได้ทันใจเมื่อต้องใช้แผนสำรอง

เมื่อเราทำหนังสือเดินทางหาย สิ่งที่ตามมานั่นก็คือ เราต้องลดเวลาในการเที่ยวลง หรือไม่ก็ต้องขยายเวลาออกไป เพราะในการทำพาสปอร์ตชั่วคราวต้องใช้เวลาในการดำเนินเรื่อง ยิ่งถ้าหายในวันเสาร์ อาทิตย์ด้วยแล้ว กว่าจะยื่นเรื่องได้ ก็ต้องรอวันจันทร์ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราต้องคิดวางแผนต่อก็คือ
• รีบจองที่พัก หากต้องยืดเวลาอยู่ต่อออกไป
• รีบโทรจองหรือเปลี่ยนเที่ยวบิน
• ควรเตรียมเงินสำรองไว้มากกว่าที่ต้องใช้จริง
• วางแผนกิจกรรมใหม่

เห็นไหมครับว่าต่อให้พาสปอร์ตเราจะหายจริง ๆ แต่มันก็จะมีวิธีการที่สามารถแก้ไขปัญหาได้ สิ่งที่สำคัญคือ เราจะต้องมีสติ รอบรู้ และวางแผน เราจึงจะเที่ยวได้อย่างสบายใจ…ไม่ต้องรีบเก็บกระเป๋ากลับบ้าน ไม่ต้องกลัวโดนกักตัว ไม่ติดคุกแน่นอนครับ.. แต่ถึงยังไงพาสปอร์ตฉบับจริงก็ยังมีความสำคัญมาก ๆ อยู่ นะครับอย่าละเลยในการเก็บรักษาล่ะ