ถือพาสเที่ยวญี่ปุ่น EP2 – JR East Tohoku กับพิกัดสุดล้ำที่ต้อง Check-in

กลับมาเจอกันใน EP2 ตลุยโซนท่องเที่ยวธรรมชาติยอดฮิตที่มีให้เลือกจนตาลาย คล้ายจะเป็นลม ก็เลือกไม่ถูก เพราะมากมายเหลือเกิน หลังจากที่ EP1 แอดมินพาเที่ยวคิวชูกันไปแล้ว (คลิกอ่านEP1) เพื่อนๆ ที่มีตั๋วเครื่องบิน ลงที่โตเกียว ต้องมาลองใช้ JR East Tohoku กันดูบ้าง จะรู้เลยว่าคุ้มค่ามาก สำหรับทริปนี้

Hitachi Seaside Park, Ibaraki

สวนริมทะเลฮิตาชิ ซีไซด์ ปาร์ค (Hitachi Seaside Park) สวนริมทะเล เป็นที่รู้จักในเรื่องความงามของสวนดอกไม้ โดยเฉพาะความโดดเด่นของทุ่งดอกโคเชีย(Kochia) ที่จะมีสีสัน แตกต่างกันไปตามระยะเวลา โดยช่วงแรกจะมีสีเขียวอ่อนสดใส จากนั้นจะค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีส้มจนเป็นสีแดงสด ในช่วงประมาณต้นเดือนถึงกลางเดือนตุลาคม และจะเปลี่ยนสีเป็นสีเหลืองทองเมื่อเข้าฤดูใบไม้ร่วง

สวนแห่งนี้ตั้งอยู่ที่เมือง Hitachinaka ของจังหวัดอิบารากิ อยู่ห่างจากเมืองโตเกียวไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 130 กิโลเมตร สามารถเดินทางไปท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปีเพราะจะมีดอกไม้ สายพันธ์ต่างๆที่จะสลับกันบานตลอดเวลา อีกทั้งโซนสวนสนุก Pleasure Garden เปิดบริการ

ช่วงเวลาของดอกไม้ในสวน Hitachi Seaside Park

ดอกไม้ช่วงเวลา
ดอกนาร์ซิสซัส (Narcissus)ปลายเดือนมีนาคม ถึง กลางเดือนเมษายน
ดอกทิวลิป (Tulip)กลางเดือน ถึง ปลายเดือนเมษายน
ดอกเนโมฟีลา (Nemophila)ปลายเดือนเมษายน ถึง ปลายเดือนพฤษภาคม
ดอกโคเชีย (Kochia)ต้นเดือนกรกฎาคม (สีเขียว) ถึง กลางเดือนตุลาคม (สีเหลืองทอง)

การเดินทาง
ลงที่สถานี Ajigaura Station โดยรถไฟสาย Hitachinaka Kaihin Tetsudo และเดินต่ออีกประมาณ 20 นาที

พิกัด : https://goo.gl/maps/bHeUqGquTF9sCvtU7

เวลาทำการ
9:30–17:00 (วันที่ 1 มีนาคม – 20 กรกฎาคม, 1 กันยายน – 31 ตุลาคม)
9:30–18:00 (21 กรกฏาคม – 31 สิงหาคม)
9:30–16:30 (1 พฤศจิกายน – สิ้นเดือนกุมภาพันธ์)
วันปิดทำการ
ปิดทุกวันจันทร์ (ถ้าวันจันทร์ตรงกับวันหยุด จะเลื่อนปิดทำการในวันถัดไป)
ปิดทุกวันที่ 31 ธันวาคม และ 1 มกราคม
***ยกเว้น เปิดทุกวัน ในช่วง High Season ดังนี้
26 มีนาคม – 31 พฤษภาคม / 21 กรกฏาคม – 31 สิงหาคม / 1 – 31 ตุลาคม

ค่าเข้าชม
ผู้ใหญ่ 410 เยน
ผู้สูงอายุ 210 เยน
เด็ก 80 เยน

Ashikaga Flower Park, Tochigi

สวนดอกไม้ Ashikaga Flower Park มีเทศกาลดอกไม้และการประดับตกแต่งตลอดทั้งปี มีชื่อเสียงเรื่องความงดงามของดอกวิสทีเรีย ตั้งอยู่ที่เมือง Ashikaga จังหวัด Tochigi เดินทางจากโตเกียวประมาณ 2 ชั่วโมง

นอกเหนือจากความสวยงามของดอกวิสทีเรียแล้ว ภายในสวน ยังมีการจัดโซนต่างๆ เช่น โดมดอกไม้, น้ำตกจำลอง และสระน้ำที่เพิ่มความสดชื่นให้กับสวนแห่งนี้ รวมถึงโซนร้านอาหารและของที่ระลึก ที่พลาดไม่ได้ ต้องมาลอง Softcream ที่มีการปรุงแต่งด้วยดอกไม้ต่างๆ ลองทานแล้วจะรู้สึกสดชื่น และมีกลิ่นหอมหวานมากเลยทีเดียวล่ะ

อีกหนึ่ง Highlight ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างต่อเนื่องคือ เทศกาล Winter Illumination ในช่วงปลายปี ไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์

งานเทศกาลที่น่าสนใจตลอดทั้งปี

เทศกาลช่วงเวลาดอกไม้และการจัดแสดง
Heralding Springต้นเดือนมกราคม ถึง ปลายเดือนกุมภาพันธ์Pheasant’s eye, Christmas Rose, Winter Clematic
Spring Flower Festivalต้นเดือนมีนาคม ถึง กลางเดือนเมษายนTulips, Crocus, Thunberg’s meadowsweet
Wisteria Storyกลางเดือนเมษายน ถึง กลางเดือนพฤษภาคมJapanese Wisteria, Japanese Azalea, Peony
Rainbow Gardenกลางเดือนพฤษภาคม ถึง ต้นเดือนมิถุนายนRose, Rhododendron, Clematis
Blue & White Gardenต้นเดือนมิถุนายน ถึง ต้นเดือนกรกฎาคมIris, Hydrangea, Late Blooming Clematis
Water (Lilies)ต้นเดือนกรกฎาคม ถึง ปลายเดือนกันยายนLantana, Toropical Water Lilies
Purple Gardenต้นเดือนตุลาคม ถึง ปลายเดือนพฤศจิกายนAmethst sage / Mexican bush sage, Pansies
Bejeweled Flower Gardenสิ้นเดือนตุลาคม ถึง สิ้นเดือนมกราคมFestive Illuminations, Pansies, Violas

การเดินทาง
นั่งรถไฟ ลงที่สถานี Tomita Station (หากมาจากโตเกียว ใช้เวลาประมาณ 70 นาที ด้วยรถไฟ Shinkansen และ 2 ชั่วโมง สำหรับรถไฟธรรมดา) จากนั้นเดินประมาณ 15 นาที

พิกัด : https://goo.gl/maps/vDj9zcFCuc8YSZHUA

เวลาทำการ
09.00 – 18.00 เดือนมีนาคม ถึง ปลายเดือนพฤศจิกายน
09.00 – 21.30 กลางเดือนเมษายน ถึง กลางเดือนพฤษภาคม และ เดือนธันวาคม ถึง เดือนกุมภาพันธ์ (มีการตกแต่งไฟ Illumination)
วันปิดทำการ
31 ธันวาคม และ พุธ,พฤหัสบดีที่ 3 ของเดือนกุมภาพันธ์

ค่าเข้าชม
1 มกราคม – 17 เมษายน
ผู้ใหญ่ 300 – 1,200 เยน, เด็ก 200 – 600 เยน

18 เมษายน – 20 พฤษภาคม
กลางวัน: ผู้ใหญ่ 900 – 1,800 เยน, เด็ก 500 – 900 เยน
กลางคืน: ผู้ใหญ่ 600 – 1,500 เยน, เด็ก 300 – 800 เยน

21 พฤษภาคม – 30 มิถุนายน
ผู้ใหญ่ 500 – 1,200 เยน, เด็ก 300 – 600 เยน

1 กรกฎาคม – 31 ธันวาคม 2018
ผู้ใหญ่ 300 – 900 เยน, เด็ก 100 – 500 เยน

ช่วงเทศกาลประดับไฟฤดูหนาว (กลางเดือนตุลาคม – ต้นเดือนกุมภาพันธ์)
ผู้ใหญ่ 900 เยน, เด็ก 500 เยน

Tanbo Art

Tanbo Art เทศกาลศิลปะจากธรรมชาติที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น ซึ่งจัดแค่ปีละครั้ง “ศิลปะบนนาข้าว” เกิดจากการวาดภาพโดยใช้นาข้าวแทนผืนผ้าหรือกระดาษ ใช้พันธุ์ข้าวที่แตกต่างกัน แทนสีต่างๆ เพื่อเติมสีสันให้กับศิลปะชิ้นนี้ ซึ่งจุดเริ่มต้นของ Tanbo Art เริ่มมาจากหมู่บ้านอินาคะดาเตะ ใน Aomori ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นหมู่บ้านแห่งเกษตรกรรม ผลิตข้าวที่มีคุณภาพสูงแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น

แต่เมื่อในปี 1993 ช่วงเศรษฐกิจถดถอย ชาวนาที่ Aomori ก็ได้รับผลกระทบ ทำให้ราคาตกต่ำ จึงได้จัดให้มีกิจกรรมนี้ขึ้นมา ก่อให้เกิดความคิดสร้างศิลปะบนนาข้าวขึ้นมา จากการนำข้าวสายพันธุ์ดั้งเดิม ที่มีหลายสี ทั้ง ม่วง แดง เหลือง เขียว มาเริ่มสร้างสรรค์ จากนั้น จึงได้สร้างป้อมจำลอง สูงกว่า 20 เมตร เพื่อชมศิลปะบนนาข้าวแห่งนี้ได้ชัดเจน และสวยงามแบบเต็มตา

ช่วงเวลาที่สามารถเข้าชมเทศกาล Tanbo Art ได้ ตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายน ถึงต้นเดือนตุลาคม ก่อนฤดูเก็บเกี่ยว แต่ช่วงที่เหมาะสมที่สุด ตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคม ถึงกลางเดือนสิงหาคม เพราะนาข้าวจะมีสีสันสดใสและสวยงามที่สุด

สถานที่จัดเทศกาล Tanbo Art

หมู่บ้านอินาคะดาเตะ (Inakadate-mura Village) จังหวัดอาโอโมริ (Aomori)
เมืองอาซาฮิคาวะ จังหวัดฮอกไกโด
เมืองโยเนะซะวะ จังหวัดยามากาตะ (Yonezawa, Yamagata)

ค่าเข้าชมบนหอคอย : ผู้ใหญ่ 200 เยน เด็ก 100 เยน
เวลาเปิด-ปิดหอคอย : 09.00-17.00 น.

Ouchijuku, Fukushima

บ้านโบราณที่อดีตเคยเป็นเมืองสำคัญในยุคเอโดะถูกสร้างเมื่อหลายร้อยปีก่อน Ouchijuku เป็นบ้านทรงโบราณที่มุงด้วยหญ้าคาหนา เรียงรายทอดยาวกว่าครึ่งกิโลเมตร มีบ้านเรียงรายอยู่มากกว่า 40 หลัง

หมู่บ้านแห่งนี้ ได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ จนกลายเป็นร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก, ขายสินค้าพื้นเมือง รวมถึงที่พักแบบดั้งเดิม ทำให้ Ouchijuku เป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ และมีนักท่องเที่ยวมาเยือนสูงถึงหลักล้านคนต่อปี

ความโดดเด่นของที่นี่ ไม่ได้มีแค่เพียงความโบราณและสิ่งอำนวยความสะดวกเท่านั้น แต่ยังมีความสวยงามของทางน้ำไหลสองฝั่งที่คั่นระหว่างบ้านและถนน ได้เห็นชาวบ้านนำผักหรือน้ำดื่มมาแช่ไว้ในทางน้ำไหล รู้สึกได้ถึงบรรยากาศวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวบ้านแห่งนี้

การเดินทาง
โดยรถไฟ จาก Tokyo ไปสถานีปลายทาง Yunokami Onsen ประมาณ 4 ชม. 40 นาที
เริ่มจากสถานี Ueno นั่ง Shinkansen Tohoku ไปลงสถานี Koriyama
จากสถานี Koriyama นั่งรถไฟสาย JR Ban-etsu-Saisen ไปสถานี Aizu-wakamatsu
จากสถานี Aizu-wakamatsu นั่งรถไฟสาย Aizu ไปสถานีปลายทาง Yunokami Onsen
จากนั้น นั่งรถแท็กซี่ประมาณ 15 นาที

ค่าเข้าชม
ไม่คิดค่าบริการ

พิกัด : https://goo.gl/maps/KYzgTGVwnQoE2x2m6

Zao, Miyagi

ภูเขา Zao เป็นเทือกเขาที่ตั้งอยู่ในสองเขตจังหวัด คือ Miyagi และ Yamagata ซึ่งในช่วงฤดูหนาวจะปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน และเป็นแหล่งชม Ice Monster รวมถึงกิจกรรมการเล่นสกี หากมาเยือนในช่วงฤดูร้อน ก็ยังมีอากาศเย็นถึงหนาวมาก และในบางวันอาจมีหมอกปกคลุมหนา เรียกได้ว่าเที่ยวที่นี่ได้ทุกฤดู

ที่นี่ยังมีกระเช้า Zao Ropeway ให้บริการ เพื่อขึ้นไปถึงสถานีด้านบน มีร้านอาหาร, ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว และศาลเจ้า ให้กราบไหว้ โดยใช้เวลาขึ้นกระเช้าประมาณ 45 นาที

การเดินทาง
จากสถานี Yamagata โดยสารรถ Yamako Bus ไปลงที่ Zao Onsen BT ใช้เวลา 40 นาที
ไปยัง Zao Ropeway สถานี Zao Sanroku เดิน 9 นาที
ไปยัง Zao Chuo Ropeway สถานี Onsen เดิน 5 นาที

เวลาทำการ
Zao Ropeway

Sanroku Line: 08:30 – 17:00 น.
Sancho Line: 08:45 – 16:45 น.
Zao Chuo Ropeway (21 ธันวาคม – 31 มีนาคม)
วันธรรมดา: 08:15 – 17:00 น.
เสาร์อาทิตย์วันหยุดราชการและช่วงเทศกาลปีใหม่: 08:00 – 17:00 น.
**อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาพอากาศ**

ค่าบริการ
ค่าโดยสาร Zao Ropeway

Sanroku Line: Zao Sanroku Statiohn – Juhyo Kogen Station
ผู้ใหญ่ (นักเรียนมัธยมต้นขึ้นไป): เที่ยวเดียว 800 เยน / ไปกลับ 1,500 เยน
เด็ก (ชั้นประถม): เที่ยวเดียว 400 เยน / ไปกลับ 800 เยน
Sancho Line: Juhyo Kogen Station – Jizo Sancho Station
ผู้ใหญ่ (นักเรียนมัธยมต้นขึ้นไป): เที่ยวเดียว 1,500 เยน / ไปกลับ 2,600 เยน
เด็ก (ชั้นประถม): เที่ยวเดียว 800 เยน / ไปกลับ 1,300 เยน
ค่าโดยสาร Zao Chuo Ropeway
ผู้ใหญ่: เที่ยวเดียว 800 เยน / ไปกลับ 1,300 เยน
เด็ก: เที่ยวเดียว 400 เยน / ไปกลับ 650 เยน

พิกัด : https://goo.gl/maps/FGwZRv2xJxr3TFGC7

ถ้าใครเคยใช้ JR East Tohoku แล้ว จะรู้เลยว่าคุ้มค่าขนาดไหน เดินทางได้เต็มที่ 5 วัน แถมยังเว้นวันใช้งานได้อีกด้วย หากอยากดูข้อมูลเพิ่มเติม คลิกเลย JR East Pass Tohoku คอยติดตาม EP3 กันต่อ ว่าแอดมินจะถือพาสไหนพาเที่ยวกันต่อจ้าาา

ติดต่อง่าย ส่งไว ใช้ตั๋วได้แน่นอน เพียงขอคำปรึกษาทีมงานเราได้ที่ www.facebook.com/japanallpass

VDO ที่เกี่ยวข้อง

9 ความสะดวก สบาย หากได้ลองใช้ Night Bus Osaka – Tokyo

9 ความสะดวก สบาย หากคุณได้ลองใช้ Night Bus เที่ยวญี่ปุ่นข้ามภูมิภาค ระหว่าง Osaka-Tokyo!!

เบาะกว้าง นั่งสบาย เอนได้พอดี

ไม่ต้องลากกระเป๋าเปลี่ยนรถไฟ เพราะมีบริการคนยกกระเป๋า

ประหยัดค่าที่พัก 1 คืน วันรุ่งขึ้นสามารถเที่ยวต่อไปสบายๆ

ปลอดภัย เพราะมีการเปลี่ยนคนขับระหว่างทาง

นอนหลับยาวได้แบบสบายๆ เพราะไม่แวะจอดระหว่างทาง

มีห้องน้ำสะอาดให้บริการบนรถ

เล่นเนตได้ไม่สะดุด เพราะมี wifi ฟรีไว้ให้บริการ

มือถือแบตหมด, power bank แบตหมด ก็มีช่องสำหรับชาร์จแบต

ใช้บริการ เจแปน ออล พาส “สั่งซื้อง่าย ส่งไว ใช้ตั๋วได้แน่นอน”

ราคาก็เบาสบายๆ ข้อดีเยอะมากมายขนาดนี้ ต้องลองใช้บริการดูสักครั้งค่ะ

สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บริษัท เจแปน ออล พาส จำกัด ( Japan All Pass Co.Ltd. )

โทร : 02-5147473

Line : https://lin.ee/jKISGty

IG : https://www.instagram.com/japanallpass/

FB : facebook.com/japanallpass


“Japan All Pass” จำหน่ายตั๋วรถไฟทั่วประเทศญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ พร้อมให้คำปรึกษา แนะนำ ดูแลตลอดการเดินทาง * ติดต่อง่าย ส่งไว ใช้ตั๋วได้แน่นอน

รู้จักสัญลักษณ์จาก Hyperdia.com เข้าใจง่าย เมื่อเดินทางในญี่ปุ่น

hyperdia.com เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางในประเทศญี่ปุ่น เพราะเปรียบเสมือนไกด์นำทาง ให้การท่องเที่ยวญี่ปุ่นของเรา สะดวก รวดเร็ว และประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก ถ้ามีการวางแผนที่ดี โดยใช้เว็ปไซท์นี้เป็นตัวช่วย

สำหรับเพื่อนๆ คนไหน ที่ยังไม่เคยท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่น หรือว่ายังไม่คุ้นเคย กับการดูสัญลักษณ์ต่างๆ ใน hyperdia.com พลาดไม่ได้กับข้อมูลดีๆ ที่แอดมินจะนำเสนอในวันนี้จ้า

link สำหรับใช้งานคือ www.hyperdia.com/en จะเป็นหน้าหลักเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ

ก่อนเริ่มการค้นหา สิ่งสำคัญ จะต้องสามารถกำหนดสถานีต้นทาง และปลายทางให้ถูกต้อง เช่น ต้องการเดินทางไปที่ Universal Studios Japan ต้องลงสถานี UNIVERSALCITY เป็นต้น

ทางด้านซ้ายของเว็ปไซท์ กรอกข้อมูลสถานีต้นทางในช่อง “From” และ ปลายทางในช่อง “To”
เลือกเดือน, ปี และวัน
เลือกเวลาเริ่มต้น (ช่องแรกเป็นชั่วโมง ช่องหลังเป็นนาที)

หากคลิกที่ปุ่ม “More Options” ทางด้านซ้ายล่าง จะมีตัวเลือกเพิ่มเติมขึ้นมาดังนี้

ช่อง “Via1 – 3” เป็นตัวเลือกสถานีที่อยากให้ผ่านระหว่างทาง จะระบุหรือไม่ก็ได้
ช่อง “Max Routes” คือจำนวนวิธีที่เราสามารถเดินทางได้ ซึ่งการเดินทางและระยะเวลาจะแตกต่างกันออกไป (ในภาพคือ 5 เส้นทาง)

ถัดมาคือประเภทของพาหนะที่ใช้ในการเดินทาง (Vehicle Type) ซึ่งจะมีทั้ง เครื่องบิน, Shinkansen, รถไฟด่วนพิเศษ, รถไฟด่วน, รถไฟธรรมดา, รถไฟนอน, รถบัส และเดิน

ถัดมาคือบริษัทฯ (Corp.) ที่ให้บริการรถไฟ ที่จะมี 2 ตัวเลือก คือ Japan Railway (รถไฟ JR) และ Private Railway (รถไฟเอกชน)

หากต้องการเดินทางด้วยรถไฟเท่านั้น ให้คลิกตัวเลือกอื่นๆ ออก เช่น Airplane, Airport Shuttle Bus
และถ้าต้องการเดินทางด้วยรถไฟ JR เท่านั้น ในส่วนของ Corp. ให้คลิก Private Railway ออก…. เท่านี้ ก็จะทำให้การดูเส้นทางง่ายขึ้น

ตัวอย่างการแสดงผลการค้นหา จากสถานี Tokyo ถึงสถานี Osaka

ความหมายและคำอธิบาย

Taketimeเวลาที่ใช้ในการเดินทาง
Transferจำนวนครั้งในการเปลี่ยนขบวน
Distanceระยะทาง
Totalค่าใช้จ่ายรวมที่ต้องชำระ
Fare & Seat Feeค่าโดยสาร และค่าธรรมเนียม

สัญลักษณ์สำคัญที่ควรรู้

สถานีต้นทาง
  สถานีที่ต้องเปลี่ยนขบวน
  มีการเปลี่ยนชื่อขบวนหรือลดขนาดรถไฟ (ไม่ต้องลงจากรถไฟ)
  นั่งรถไฟย้อนกลับ เนื่องจากขบวนที่นั่งเป็นรถไฟด่วน ไม่จอดในสถานีย่อย
สถานีปลายทาง
เครื่องบิน
รถไฟ Shinkansen
รถไฟด่วนพิเศษ JR
รถไฟ Local JR
รถไฟด่วนพิเศษ เอกชน
รถไฟ Local เอกชน
รถบัสจากสนามบิน
รถส่วนตัว
เดิน

Trick สำคัญ สำหรับเพื่อนๆ ที่มีตั๋วรถไฟอยู่แล้ว ควรกำหนดค่าการค้นหา ในช่อง Vehicle Type และ Corp. ให้ถูกต้อง จะช่วยให้ค้นหาได้แม่นยำ และประหยัดเวลาได้มากขึ้น

ตัวอย่าง หากเรามีตั๋ว Kansai Thru Pass อยู่แล้ว ต้องการค้นหาวิธีการเดินทาง ก็ให้เลือกสถานีต้นทาง, สถานีปลายทาง, วันที่ และเวลาการเดินทางให้เรียบร้อย

จากนั้น ในตัวเลือก Vehicle Type (ภาพด้านบน) ให้ตัดตัวเลือกต่อไปนี้ออก Airplane / Airport Shuttle Bus / Bullet Train (Shinkansen) / Nozomi / Mizuho / Hayabusa (Shinkansen)
และในช่อง Corp. ให้ตัดตัวเลือก Japan Railway (JR) ออก แล้วกดค้นหา ก็จะแสดงผลเฉพาะรถไฟเอกชน ที่สามารถเดินทางด้วย Kansai Thru Pass ได้แล้ว

หากเพื่อนๆ มีข้อสงสัย หรือต้องการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับ JR Pass หรือตั๋วรถไฟเอกชน สามารถติดต่อสอบถามได้ที่
โทร. 02-514-7473 (วันจันทร์-เสาร์ เวลา 09.00-18.00 น.) สายด่วน 08-2828-9933 / 08-2828-9944 / 08-2828-9393 / 08-2828-9494 / 08-2828-9988
ID LINE : @japanallpass
หรือช่องทาง Inbox >>
📱สำหรับโทรศัพท์มือถือ คลิก m.me/japanallpass
💻สำหรับ Computer PC คลิก https://goo.gl/QhNgSN
หรือ [email protected]

5 Days in Kansai กับตั๋วรถไฟ JR West (Okayama, Hyogo) Ep.3

5 Days in Kansai กับตั๋วรถไฟ JR West (Okayama, Hyogo) Ep.3

จากตอนที่ 2 ตอนที่แล้ว เราเดินทางจากสถานี JR Soja (JR Hakubi Line) ต่อรถไฟไปลงที่สถานี Okayama ใช้เวลา 30 นาที เอากระเป๋าเดินทางแล้ว เราก็ไปเที่ยวต่อกันที่ คุราชิกิ เลยค่ะ โดยขึ้นรถไฟจาก JR Okayama >> ลงที่ JR Kurashiki ใช้เวลา 19 นาที ก็มาถึงคุราชิกิแล้วเราก็ไปเที่ยวกันต่อเลย

คืนนี้เรานอนกันที่ Kurashiki Ivy Square ซึ่งเป็นโรงแรมที่ตั้งอยู่ภายในคุราชิกิเลย ซึ่งสะดวกสบายกับนักท่องเที่ยวมาก เดินเล่น ช้อปปิ้ง เสร็จแล้วก็เดินเข้าที่พักได้อย่างง่ายดาย เอาล่ะ พอมาถึงเช็คอินเก็บกระเป๋าเดินทางก่อน แล้วค่อยออกไปลุยคุราชิกิด้วยกัน

ห้องนอนเขามีหลายแบบ มีทั้งแบบนอนคนเดียว และนอนเป็นคู่เลยนะคะ

คราวนี้เรามาลุยกันต่อใน เมืองคุราชิกิ (Kurashiki Bikan Historical Quarter) เมืองน่ารักแฝงด้วยธรรมชาติ ที่จังหวัดโอคายาม่า (Okayama) ถ้าใครมาช่วงเดือน พ.ย. ก็อาจเจอใบไม้สีแดงกันค่ะ ที่สำคัญยังมีคลองเล็กๆ ให้เราได้นั่งเรือพายร่วมย้อนอดีตวันวาน พร้อมชมวิวสองข้างทางกันด้วย ค่าบริการ 500 เยนต่อคน

ที่ Kurashiki Bikan อาคารบ้านเรือนดูโดดเด่นสวยงาม ซึ่งสมัยอดีตเคยใช้เป็นโกดังเก็บข้าวของเหล่าบรรดาพ่อค้าในยุคเอโดะ แต่ปัจจุบันได้ถูกปรับแต่งให้เป็นบ้านพักอาศัย รวมไปถึงเป็นร้านค้าขายของที่ระลึก อาหาร และขนมขึ้นชื่อของเมือง

มีร้านเช่าชุดกิโมโน และขายของประดับตกแต่งที่ผลิตมาจากผ้ายีนส์ด้วยนะคะ น่ารัก สวยงาม เนื้อผ้าและสีสันมีให้เลือกมากมายน่าสนใจมากเลย ราคาเริ่มต้นที่ 3,780 เยน ไปจนถึง 5,940 เยน

พิพิธภัณฑ์โมโมทาโร่ ที่เราสามารถเข้าไปชมด้านในได้ ซึ่งมีอะไรสนุกๆ ให้เราทำด้านในด้วย แต่ครั้งนี้เราไม่ได้เข้าไปนะคะ ถ่ายด้านหน้ามาให้ชมก็แล้วกัน

ร้าน TANE ขาย masking tape หรือที่หลายคนเรียกว่า MT นั่นแหละค่ะ จริงๆ แล้ว masking tape ก็คือ เทปกาวมีลายน่ารักๆ จากญี่ปุ่น เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบงาน DIY และชอบเขียนไดอารี่ แปะโน่นนี่นั่น บนกล่องของขวัญให้เพื่อนๆ ก็ได้ คือแปะได้ทุกอย่างที่อยากจะแปะเลย

ตู้กาชาปองก็มีนะ ใครชอบกดล่ะก็ มีตามจุดต่างๆ หลายที่เลย

Kurashiki Craft Work Village โซนที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของอาคารร้านค้าสไตล์ญี่ปุ่นแบบโบราณ มีร้านค้าอยู่ 5 ร้าน เช่น ร้านขายผ้าเช็ดมือแบบญี่ปุ่น เสื้อผ้า และเครื่องแก้ว ด้วยการสร้างสรรค์ของโอคายาม่า น่าเดินดูทุกร้านเลย แต่วันนี้พาแวะร้านผ้าชื่อ Gocha กัน

ร้าน Gocha เป็นร้านที่มีผ้าลายสวยๆ เพียบเลย ที่ร้านขายงานงานผ้าสวยๆ จำพวกงาน Craft ลวดลายต่างๆ แตกต่างกันออกไป มีทั้งผ้าม่าน ผ้าเช็ดมือ นอกจากการได้ช้อปปิ้งแล้ว สามารถลองทำผ้าเช็ดมือแบบญี่ปุ่น ที่ร้านได้ด้วย

ร้านพุดดิ้ง Yurin-an เป็นร้านพุดดิ้งแห่งความสุขที่รสชาติอร่อยมากของคุราชิกิ ที่นี่ยังทำเป็น guest house ชื่อ Kurashiki Guest House Yuurin-An ให้บริการที่พักสไตล์ญี่ปุ่นในบ้านแบบดั้งเดิมซึ่งมีอายุเก่าแก่กว่า 100 ปี Yuurin-An เป็นคาเฟ่ในช่วงกลางวันให้บริการอาหาร ขนมหวาน และจะเปลี่ยนเป็นเกสต์เฮาส์ในเวลากลางคืน

พุดดิ้งแห่งความสุขของร้าน มีชื่อว่า shiawase pudding ตัวพุดดิ้งรสชาติหอมกลิ่นนมและไข่ ทั้งเนียนและนุ่มลิ้นละลายในปาก หวานกำลังดี พุดดิ้งแต่ละถ้วยจะมีหน้าตายิ้มแย้มที่แตกต่างกันไป น่ารักดีค่ะ แต่เราต้องมาลุ้นอีกทีว่าเราจะได้หน้ายิ้มในรูปแบบไหนกัน เลือกหน้าไม่ได้นะ คนขายสุ่มให้เราเอง ลุ้นดี!!

เดินต่อมาแล้วลัดเลาะมาตามตรอก ใกล้สะพานข้ามคลองจะเจอกับ กำแพงสีขาวสไตล์นามาโกะ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของคุราชิกิ กำแพงสีขาวมีลวดลายคล้ายปลิงทะเลญี่ปุ่น

มีมุมขายของแบกะดินเหมือนบ้านเราด้วย ฮ่าๆ น่ารักเชียว

แล้วไปกรี๊ดดด!! กันต่อที่ มาเมะชิบะคาเฟ่ (Mameshiba Cafe’) กับความน่ารักของเจ้าน้องหมาน้อยที่ผูกผ้าพันคอหลากสี ตั้งอยู่ที่ในสถานที่ท่องเที่ยวคุราชิกิ (Kurashiki) จังหวัด Okayama เล่นได้ อุ้มได้ จับได้ น้องหมาใจดี เดินเล่นกับคนที่เข้ามาในคาเฟ่บ้าง นอนเล่นบ้าง ตามอารมณ์ อิอิ นอกจากน้องหมาชิบะแล้ว ที่นี่ยังมีสวนสัตว์เล็กๆ อย่าง นกฮูก (Owl’s Forest) และเม่นน้อย (Hedgehog Forest) พร้อมร้านขายของที่ระลึกให้นักท่องเที่ยวได้ช้อปปิ้งกันอีกด้วย ใครมาเที่ยวคุราชิกิ ห้ามพลาดนะคะ!!

– Mameshiba Cafe’ ราคา 780 เยน/คน (รวมเครื่องดื่ม)

– Owl’s Forest ราคา 680 เยน/คน

– Hedgehog Forest ราคา 580 เยน/คน

โซนด้านล่างก่อนทางขึ้นไปด้านบน จะเป็นร้านขายของที่ระลึก และของฝาก ขนมต่างๆ

ยามเย็นท้องฟ้าก็สวยงามไปอีกแบบนะคะ ร้านส่วนใหญ่ในนี้จะปิดกันประมาณ 17.30 – 18.00 น. ส่วนตอนกลางคืนก็จะมีโซนร้านอาหาร และร้านแนวนั่งดื่มเปิดอยู่บ้างในคุราชิกิ

เช้าวันที่ 5 วันสุดท้ายแล้วนี่นา ถึงเวลาต้องเดินทางกลับบ้านแล้ว ทั้งที่ใจมันยังอยากอยู่เที่ยวต่อก็ตามที ฮ่าๆๆ ออกจากที่พักแล้ว เราไปต่อกันที่ร้านขนมที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่นกัน

Dagashi Shop หรือ Nipponichi no Dagashiuriba เป็นร้านขนมญี่ปุ่นดั้งเดิมที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ตั้งอยู่ที่จังหวัดโอคายาม่า ที่ร้านมีขนมมากมายกว่า 3,000 ชนิด เดินเข้ามาแล้วอาจจะตาลายก็เป็นได้ เยอะมากและหลายโซน ที่สำคัญราคาไม่แพง ช่วงวันเสาร์อาทิตย์คนจะมาช้อปปิ้งที่นี่เยอะมาก ลานจอดรถนี้เต็มเลยทีเดียว จากคุราชิกิ คือเรานั่งรถไฟไปลงที่ Okayama ก่อน แล้วค่อยต่อรถไปลงที่สถานี Osafune รวมนั่งรถไฟทั้งหมดประมาณ 50 นาที จากนั้นนั่งแท็กซี่ต่อมาที่ร้านประมาน 10 นาที ระยะทาง 6.3 กิโลเมตร เปิดบริการ 10.00-17.00 น.

การเดินทาง JR Kurashiki นั่ง JR Sanyo Line  for OKAYAMA > JR Okayama มาต่อ JR Ako Line  for OSAFUNE  > ลงสถานี Osafune > ต่อแท็กซี่ไปที่ร้าน 10 นาที

อ๊ะ อ๊ะ เดินออกมาจะเข้าห้องน้ำ โอ๊ย!! น่ารักมากมาย นึกว่าสวนสนุกเด็กซะอีก สีสันนี่สุดยอด เพ้นท์ลายการ์ตูนน่ารักๆ เต็มหน้าประตูห้องน้ำเลยล่ะค่ะ

เสร็จแล้วได้เวลากลับสนามบินคันไซ (Kansai Airport) กันแล้วค่ะ Let’s Go!! วันสุดท้ายเรายังสามารถใช้ตั๋วรถไฟ JR West Kansai Wide เข้าสนามบินได้เลย

การเดินทางกลับ Kansai Airport  ด้วยรถไฟประมาณ ​170 นาที ดังนี้ จากสถานี OSAFUNE นั่ง JR Ako Line  for OKAYAMA > จากสถานี OKAYAMA ต่อ SHINKANSEN NOZOMI 170 > ลงที่ SHIN-OSAKA แล้วนั่ง LTD. EXP HARUKA 37 > เข้าสนามบิน KANSAI AIRPORT ค่ะ

 

ปล. ขอบคุณสำหรับการติดตามรีวิว 5 Days in Kansai กับตั๋วรถไฟ JR West (Okayama, Hyogo) ตั้งแต่ Ep.1 – Ep.3 เลยนะคะ เอาไว้เจอกันใหม่ในทริปหน้า สวัสดีค่ะ…^_^

>> สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บริษัท เจแปน ออล พาส จำกัด ( Japan All Pass Co.Ltd. )

โทร. 02-514-7473 (วันจันทร์-เสาร์ เวลา 09.00-18.00 น.) สายด่วน 08-2828-9933 / 08-2828-9944 / 08-2828-9988

ID LINE : @japanallpass
หรือช่องทาง Inbox >>
📱สำหรับโทรศัพท์มือถือ คลิก m.me/japanallpass
💻สำหรับ Computer PC คลิก https://goo.gl/QhNgSN
หรือ [email protected]

5 Days in Kansai กับตั๋วรถไฟ JR West (Okayama, Hyogo) Ep.2

5 Days in Kansai กับตั๋วรถไฟ JR West (Okayama, Hyogo) Ep.2

 

เช้าวันที่ 3 แล้ว เราไปเที่ยวกันต่อที่ ปราสาทฮิเมจิ (Himeji Castle) สีขาวสวยสง่าสะอาดตา หรือที่หลายคนเรียกว่า ปราสาทนกกระสาขาว เพราะทาสีขาวและมุงกระเบื้องสีขาวทั้งหมด ตั้งอยู่ที่เมืองฮิเมจิ จังหวัดเฮียวโงะ

ตอนนี้มีออฟชั่นใหม่!! อยากให้มาลองส่องดูภาพปราสาทจากกล้อง VR กันนะคะ แถมเข้ามาด้านในแล้ว หยิบคู่มือฉบับภาษาไทยไปอ่านฟรีได้เลย!!

ที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ปราสาทฮิเมจิมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 400 ปีเลยล่ะค่ะ นับเป็นปราสาทที่คงสภาพเดิมที่สุดในญี่ปุ่น ช่วงนี้มาเที่ยวก็จะเห็นทิวทัศน์รอบๆ สวยงาม ปราสาท Himeji ยังเป็นหนึ่งในปราสาทที่มีชื่อเสียงที่สุดในญี่ปุ่นอีกด้วย

ด้านบนสุดนอกจากจะมีจุดชมวิวแล้ว ยังมีศาลเจ้าด้วยนะ แต่เวลาลงระวังบันไดนิดนึง เพราะค่อนข้างชันสุดๆ เลย

การเดินทาง สามารถใช้ตั๋วรถไฟ JR West Kansai Wide Area นั่งรถไฟมาถึงสถานี Himeji Station ซึ่งเป็นสถานีที่ใกล้ปราสาทมากที่สุด ซึ่งถ้าใครเดินทางจากโอซาก้าหรือเกียวโตมาเที่ยวที่นี่ จึงเป็นเรื่องที่ไม่ยากเลยค่ะ หน้าสถานี JR มีศูนย์บริการนักท่องเที่ยวด้วยนะคะ

จากนั้นนั่งรถไฟชินคันเซนจากสถานี JR Himeji > ไปยังสถานี JR Okayama เที่ยวต่อกันเลยค่ะ ระหว่างยืนรอ ก็เห็นรถไฟชินคันเซน คิตตี้ วิ่งผ่านมาพอดี น่ารักเว่อร์เบอร์นั้นแหละ

เมื่อเราถึง สถานีรถไฟ JR Okayama โดยการนั่งรถไฟชินคันเซน ใช้เวลา 20 นาที ก็ได้เวลาที่จะสนุกต่อกันแล้ว เย้!!

เราไปเช็คอินที่พัก Hotel Granvia Okayama เพื่อฝากกระเป๋าเดินทางกันก่อนออกไปเที่ยว โรงแรมนี้สะดวกหลายอย่าง อยู่ใกล้สถานีรถไฟ ร้านค้า ช้อปปิ้งมอลล์ต่างๆ AEON Mall / Big Camera / Don Quijote และอื่นๆ ที่เราสามารถเดินไปได้อย่างสะดวกสบาย

ไปเที่ยวต่อกันที่ สวนโคราคุเอน (Korakuen) จ.โอคายาม่า (Okayama) เป็นสวนขนาดใหญ่ติด 1 ใน 3 ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสวนที่สวยงามที่สุดในญี่ปุ่น ภายในสวนจะมีการแบ่งพื้นที่ออกเป็นโซนต่างๆ มีวิวที่สวยงามแตกต่างกันออกไป

การเดินทาง จากสถานี Okayama Sta. East Gate นั่งรถบัสไปลงที่ป้าย Kencho-mae ประมาน 5 ป้าย ซึ่งอยู่ด้านหน้าทางเข้าสวนพอดี ตรงป้ายที่ลงจะมีสะพานข้ามคลองด้วย ค่ารถบัส ราคาเพียง 100 เยน พอลงรถเสร็จแล้ว รถบัสจะวนข้ามสะพานไปอีกฝั่งนึงค่ะ

ที่สำคัญภายในสวนยังมองเห็นวิวปราสาทโอคายาม่าด้วยค่ะ

อดีตที่นี่ยังเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของเจ้านายชั้นสูง หรือเป็นที่รับรองแขกคนสำคัญ เนื่องจากห้องรับรองสามารถเปิดบานประตูออกมาแล้วเห็นวิวทิวทัศน์ภายนอกได้แบบเต็มตา บนพื้นที่สวนสไตล์ญี่ปุ่น เช่น วิวสระน้ำ ทางเดิน และเนินเขา รวมไปถึงพื้นที่สนามหญ้า ต้นชา แปลงนาข้าว ต้นซากุระ ต้นเมเปิ้ล เมื่อเดินเข้ามาด้านในสวน เราสามารถแวะเที่ยวร้านค้า ชิมชาเขียวหอมๆ พร้อมทานขนมดังโงะ รสอร่อย นุ่มๆ เหนียวๆ เข้ากันมาก แวะพักกรุบกริบจิบชาที่นี่ แล้วค่อยไปเดินชิลกันต่อ ค่าเข้าชมสวนคนละ 400 เยน และ 560 เยน สำหรับเข้าชมทั้งสวนและปราสาทโอคายาม่า

เดินจากสวนมายัง ปราสาทโอคายาม่า (Okayama Castle) ได้เลยนะคะ เพราะอยู่ติดกัน ปราสาทสีดำตั้งตระหง่านสวยงาม หรือที่บางคนมักเรียกกันว่า ปราสาทอีกา เนื่องจากตัวปราสาทภายนอกมีสีดำ ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1597 ในยุคของอาซูชิ-โมโมยามะ (Azuchi-Momoyama) ซึ่งก่อนหน้านี้อาคารหลังเดิมได้ถูกทำลายลงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังจากนั้นประมาณ 20 ปี ได้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ โดยตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ

ตัวปราสาทภายในจะตกแต่งแบบโมเดิร์น และจัดแสดงประวัติความเป็นมาของการสร้างปราสาท มีหอสังเกตการชื่อว่า ซึคิมิ ยาคูระ (Tsukimi Yagura) ที่เหลือรอดตั้งแต่ตอนสร้างปราสาทมาจนถึงปัจจุบัน บรรยากาศที่นี่สบายๆ ผู้คนไม่พลุกพล่านมากนัก สามารถเดินเล่นรอบๆ บริเวณตัวปราสาท หรือจะเข้าชมภายใน และขึ้นไปชมวิวด้านบนของปราสาทด้วยก็ได้ค่ะ

เสร็จแล้วตบท้ายด้วยการไปช้อปปิ้งแถวโรงแรมที่เราพัก เพราะอยู่ใกล้สถานีรถไฟ ร้านค้า ช้อปปิ้งมอลล์ต่างๆ AEON Mall / Big Camera / Don Quijote และอื่นๆ ที่เราสามารถเดินไปได้อย่างสะดวกสบาย

เช้าวันที่ 4 กันแล้ว เราไปปั่นจักรยานกันดีกว่า วันนี้อากาศกำลังดีเลยทีเดียว เส้นทางการปั่นจักรยานชมวิวรอบเมืองนั้น เราเริ่มต้นที่สถานี JR Okayama (JR Kibi Line) เราฝากกระเป๋าเดินทางไว้ที่นี่ได้นะคะ มีตู้ล็อกเกอร์หลายอัน แต่มาเช้าๆ หน่อยนะเดี๋ยวจะเต็ม หรือจะฝากกระเป๋าเดินทางไปส่งที่โรงแรมก็ได้ที่เคาเตอร์นี้ แล้วนั่งรถไฟมาลงที่สถานี JR Bizen Ichinomiya แล้วเช่าจักรยานในราคา 1000 เยน/ ต่อวัน ด้านข้างสถานีเลยค่ะ

เราปั่นตามเส้นทางจักรยาน โดยจะมีป้ายบอกเป็นสัญลักษณ์รูปจักรยานตลอดเส้นทาง การปั่นชมวิวนั้นระยะทางรวม 17 กิโลเมตร ปั่นจักรยานชมวิวนาข้าวสีทอง ที่จังหวัดโอคายาม่า (Okayama) ในช่วงเดือนตุลาคมแบบนี้ นาข้าวในทุกพื้นที่จะเริ่มเปลี่ยนเป็นรวงสีทองอร่ามไปทั่วทุ่ง สวยงามมากๆ

บรรยากาศก็เริ่มเย็นลงเรื่อยๆ เหมาะแก่การปั่นจักรยานชมวิวเป็นที่สุด เพราะวิวตลอดเส้นทางนั้นเต็มไปด้วยรวงข้าวสีทอง ศาลเจ้า และวัด ที่เราสามารถแวะพักได้ตามจุดต่างๆ ทริปการปั่นจักรยานนี้เหมาะสำหรับเพื่อนๆ ที่รักการปั่นและชอบความชิลค่ะ


เลยตรงบริเวณเจดีย์ 5 ชั้นนี้ไป ฝั่งตรงข้ามมีร้านโซบะด้วยนะ อร่อยดี สั่งได้ทั้งแบบร้อน และแบบเย็น จอดจักรยานได้ที่หน้าร้าน ด้านในร้านก็มองผ่านกระจกใส เห็นตัวเจดีย์ 5 ชั้นด้วย


อิ่มท้องแล้วปั่นมาสิ้นสุด และคืนจักรยานที่สถานี JR Soja (JR Hakubi Line) สะดวกมากๆ มองป้ายหรือรูปจักรยานที่ติดไว้ที่หน้าร้าน หรือหน้าตึกได้เลย แล้วต่อรถไฟไปลงที่สถานี Okayama เพื่อเอากระเป๋าแล้วไปเที่ยวต่อกัน


จากสถานี JR Soja (JR Hakubi Line) ต่อรถไฟไปลงที่สถานี Okayama ใช้เวลา 30 นาที เอากระเป๋าเดินทางแล้ว เราก็ไปเที่ยวต่อกันที่ คุราชิกิ เลยค่ะ โดยขึ้นรถไฟจาก JR Okayama >> ลงที่ JR Kurashiki ใช้เวลา 19 นาที แล้วเราก็พาไปเที่ยวในคุราชิกิกันต่อเลยค่ะ

อย่าลืม!! ติดตามรีวิวตอนต่อไป ในตอนที่ 3 ซึ่งเป็นตอนจบของทริปนี้นะคะ ขอบคุณค่ะ

>> สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บริษัท เจแปน ออล พาส จำกัด ( Japan All Pass Co.Ltd. )

โทร. 02-514-7473 (วันจันทร์-เสาร์ เวลา 09.00-18.00 น.) สายด่วน 08-2828-9933 / 08-2828-9944 / 08-2828-9988

ID LINE : @japanallpass
หรือช่องทาง Inbox >>
📱สำหรับโทรศัพท์มือถือ คลิก m.me/japanallpass
💻สำหรับ Computer PC คลิก https://goo.gl/QhNgSN
หรือ [email protected]

5 Days in Kansai กับตั๋วรถไฟ JR West (Okayama, Hyogo) Ep.1

5 Days in Kansai กับตั๋วรถไฟ JR West (Okayama, Hyogo) Ep.1


ใครเคยมาเที่ยวภูมิภาคคันไซแล้วบ้างคะ ยกมือขึ้น!!
นั่นแน่รู้เลยว่าหลายคนเคยมากันแล้ว ภูมิภาคคันไซประกอบด้วย 6 จังหวัด ได้แก่ ชิงะ (Shiga), นารา (Nara), วากายะมะ (Wakayama), เกียวโต (Kyoto), เฮียวโงะ (Hyogo) และโอซาก้า (Osaka) ซึ่งเป็นศูนย์กลางที่มีความทันสมัยเต็มไปด้วยสีสันสุดคึกคัก แต่ถ้าเรามีตั๋วรถไฟ  JR West Kansai wide Area Pass แบบ 5 วัน เราก็สามารถเดินทางไปเที่ยวที่จังหวัดโอคายาม่า (Okayama) ซึ่งอยู่ในภูมิภาคชูโงะคุ (Chugoku) ต่อได้อีกด้วย คุ้มค่าจริงๆ วันนี้เราจะแนะนำที่เที่ยวของสองจังหวัด Hyogo และ Okayama กันค่ะ

เมื่อเราถึงสนามบินคันไซ (Kansai Airport) เราสามารถนำวอยเชอร์ของตั๋ว JR West Kansai wide Area Pass แบบ 5 วัน ที่ซื้อมาจากประเทศไทย ยื่นพร้อมกับพาสปอร์ต เพื่อแลกตั๋วจริงได้ที่เคาเตอร์ JR ในสนามบินเพื่อใช้ขึ้นรถไฟไปยังเมืองต่างๆ ได้เลย หรือใครยังไม่แลกก็สามารถไปแลกตามสถานีรถไฟใหญ่ๆ ที่มีเคาเตอร์ JR ก็ได้เช่นกันค่ะ

เราสามารถนั่งรถไฟออกจากสนามบินคันไซได้เลย เราจะไปยังเมือง Kobe จังหวัด Hyogo เพราะถ้าบอกแค่จังหวัด Hyogo หลายคนอาจจะงง เพราะส่วนใหญ่รู้จักแต่ชื่อ Kobe กัน จากสนามบินคันไซไปลงที่สถานีชินโกเบ รวม 85 นาที แล้วเรานั่งแท็กซี่ประมาน 7 นาที ต่อเข้าที่พักได้เลยสะดวกดี

KANSAI AIRPORT > LTD. EXP HARUKA 48 > SHIN-OSAKA  > SHINKANSEN MIZUHO 611 > SHIN-KOBE

ที่พักคืนนี้ก็คือ Kobe Sannomiya Tokyu REI Hotel ซึ่งอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟ ร้านอาหาร และแหล่งช้อปปิ้งต่างๆ มากมาย อาทิ ถนนช้อปปิ้ง Sannomiya, ถนนช้อปปิ้ง Motomachi (Nankin-Machi) เรียกว่าเที่ยวง่ายสะดวกสบายเลยล่ะ

เช้านี้เราจะเดินทางไปเที่ยวกันที่ เกาะอะวะจิ (Awaji) ในจังหวัดเฮียวโงะ (Hyogo) ซึ่งที่นั่นมีทั้งสวนดอกไม้ ชิงช้า และจุดชมวิว ตามไปเที่ยวด้วยกันค่ะ ว่าบนเกาะอะวะจิมีอะไรบ้าง สำหรับคนที่เช่ารถขับหนึ่งวันมาเที่ยวที่เกาะนี้ ก็จะสะดวกหน่อย เพราะบางเส้นทางต้องต่อแท็กซี่ไปตามสถานที่ต่างๆ

วิธีการเดินทางจากโกเบ สามารถเดินทางมาได้ด้วยรถ JR Bus จากท่ารถบัส Sannomiya Bus Terminal เพราะรถบัสจะข้ามสะพาน Akashi Kaikyo ซึ่งเป็นเส้นทางหลัก ที่เชื่อมต่อระหว่างเมืองโกเบกับเกาะอะวะจิ โดยใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง 10 นาที มาลงที่ Tsuna-ko port ค่าโดยสาร 1,500 เยน/เที่ยว


Roda Gigante SA Awaji ชิงช้าสูงตระหง่านสวยงามและโดดเด่น เห็นมาแต่ไกล สามารถนั่งชมวิวได้นะคะ ถ้าใครชอบชมวิวจากที่สูงๆ

จุดพักรถ Awaji ที่อยู่บริเวณเดียวกันกับชิงช้า ก็ยังมีลานจอดรถกว้างๆ มีร้านกาแฟ ร้านอาหาร ห้องน้ำ ร้านขายของ
Information สำหรับนักท่องเที่ยว มีเคาท์เตอร์อยู่ด้านในอาคารตรงโซนร้านอาหารด้วย


ของฝากขึ้นชื่อ
หัวหอมใหญ่ ที่หวานอร่อย ลูกโต มีวางขายหลายอย่าง ทั้งแปรรูป และแบบสดจากไร่

จุดชมวิวสะพานอะกะชิไคเกียว (Akashi Kaikyo) อยู่ที่จุดพักรถ Awaji ตรงโซนใกล้กับชิงช้า แถวหน้าร้านกาแฟเลยค่ะ

Awaji Hanasajiki ต่อจากจุดพักรถเราไปต่อกันที่สวนดอกไม้แห่งนี้ Awaji Hanasajiki ที่นี่จะมีดอกไม้บานตามฤดูกาล ในพื้นที่กว้างๆ สามารถเดินเล่นชมวิว ถ่ายรูปได้อย่างเพลิดเพลิน กับอากาศเย็นสบายบนเนินเขา ที่นี่ยังมีร้านขายของที่ระลึก ขายอาหาร ผักและดอกไม้ ช่วงที่เรามาเป็นบรรยากาศเนินเขาเขียวๆ เพราะเพิ่งลงดอกไม้ไปคาดว่าจะบานสวยงามช่วงปลายตุลาคม เปิดบริการ 9:00-17:00 น. เข้าชมฟรีด้วยนะคะ

The Westin Awaji Island  ที่พักคืนนี้บนเกาะอะวะจิ ที่พักทันสมัย ครบวงจร ให้บริการศูนย์ออกกำลังกาย ที่จอดรถฟรี และบริการอินเทอร์เน็ตไร้สาย (Wi-Fi) ฟรีทั่วบริเวณ ห้องพักใหญ่ สะอาด มีวิวระเบียงมองเห็นทะเลและขอบฟ้า มีร้านขายของที่ระลึกด้วย ใช้เวลาเดินทางด้วยรถยนต์ 15 นาที ข้ามจากเกาะอะวะจิไปยังสถานี JR Maiko Station ได้ค่ะ

อย่าลืม!! ติดตามรีวิวตอนต่อไป ในตอนที่ 2 ของทริปนี้นะคะ ขอบคุณค่ะ

>> สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บริษัท เจแปน ออล พาส จำกัด ( Japan All Pass Co.Ltd. )

โทร. 02-514-7473 (วันจันทร์-เสาร์ เวลา 09.00-18.00 น.) สายด่วน 08-2828-9933 / 08-2828-9944 / 08-2828-9988

ID LINE : @japanallpass
หรือช่องทาง Inbox >>
📱สำหรับโทรศัพท์มือถือ คลิก m.me/japanallpass
💻สำหรับ Computer PC คลิก https://goo.gl/QhNgSN
หรือ [email protected]