5 ร้านดังในย่าน นารา (Nara)

1. ร้าน Noroma ราเม็งซุปไก่
หากใครไปเที่ยวที่เมือง นารา แนะนำให้ไปร้าน Noroma เนื่องจากร้านนี้เป็นร้านที่โด่งดังขึ้นชื่อในเรื่องของรสชาติที่อร่อย และจะเห็นได้ว่ามีผู้คนจำนวนมากต่อแถวเพื่อที่จะรอกิน และภายในร้านตบแต่งแบบเรียบง่ายสไตล์ญี่ปุ่น ในส่วนของ เมนูของที่นี่เป็นภาษาญี่ปุ่น แบ่งออกเป็นหมดราเมน เครื่องเคียงอย่างพวก เกี๊ยวซ่า  เครื่องดื่ม และเซ็ตอาหารกลางวันที่มีขายเฉพาะวันเท่านั้น และอาหารจากเด็ดของร้านที่ลูกค้าคนไหนมาร้านนี้ต้องสั่งคือ  ชิมราเม็งซุปไก่ นื่องจากทางร้านเคี่ยวซุปไก่นานถึง 8 ชั่วโมง  นอกจากความเข้มข้นของน้ำซุปแล้วทางร้านยังใส่หมูชาชูลงไปอีก 2 ชิ้นใหญ่เรียกว่าแทบจะคับชามเลยก็ว่าได้ และยังมีไข่ต้ม และต้นหอมซอย และที่เด็ดไม่แพ้น้ำซุปก็เห็นจะเป็นเส้นนี้แหละค่ะ ซึ้งทางร้านจัดทำเส้นเองวันต่อวันกันไปเลยค่ะ บอกได้เลยว่าทางร้านใส่ใจทุกรายละเอียด ในการผลิตและ วัติถุดิบที่ดีเยี่ยม ที่สำคัญ ราคาเพียงแค่ชามละ 900 เยน เท่านั้นค่ะ ทั้งอร่อยและถูก ขนาดนี้ต้องเข้าไปลองกันได้เลยค่ะ

Japanese ramen noodle

ที่ตั้งของร้าน : Noroma : 3-1531 Minamikyobatecho Nara Nara
วิธีเดินทาง : นั่งรถไฟ JR Sakurai Line ลงสถานี Kyobate เดินอีก 15 นาที
เวลาทำการ : ช่วงกลางวัน เวลา 11:30-15:00น. และช่วงเย็น เวลา 18:30-21:30 น.
**เซ็ตกลางวันราคาพิเศษขายวันอาทิตย์**
ราคา : เริ่มต้น 700 เยน
Website Noroma
Location: 〒630-8141 奈良県奈良市南京終町3丁目1531

2. ร้าน Kameyamashachuu บุฟเฟต์เนื้อสายเนื้อ
สายเนื้อย่าง สายบุฟเฟต์ มาทางนี้เลยค่ะร้านนี้สำหรับท่านที่ชื่นชอบเนื้อเป็นพิเศษแนะนำร้าน Kameyamashachuu  เพราะนอกจากเมนูปกติที่นี่ก็มีแบบบุฟเฟต์ด้วย ทางร้านจะย่างด้วยเตาถ่านเพี่อให้เนื้อคงความชุ่มชื่นบวกกับความหอมของเตาถ่ายที่เข้ากันแบบสุดๆ และทารงร้านยังคัดสรรเนื้ออย่าดีแ ละสดใหม่ตลอด และเมนูเนื้อมีให้เลือกหลากหลาย รวมถึงเนื้อวากิว ในไลน์บุฟเฟ่ต์ก็สั่งได้หลายแบบ คุณภาพเนื้อคุ้มกับราคา รสชาติดีขึ้นชื่อ และยังมี  เครื่องเคียงมีผักสด และกิมจิแอบบมีกลิ่นอายเกาหลี ซอสที่หมักเนื้อเป็นเอกลักษณ์ของร้าน เชื่อได้เลยว่าสำหรับสายบุฟเฟต์และสายเนื้อต้องถูกใจกับร้านนี้เป็นแน่

Japanese Beef

ที่ตั้งของร้าน : Kameyamashachuu : 188-1 Tomidocho Tenri Nara
วิธีเดินทาง : นั่งรถไฟ สาย Kintetsu-Tenri Line ลงสถานี Senzai เดินอีก 10 นาที
เวลาทำการ : เวลา17:00-2:00 น.
ราคา : บุฟเฟต์ท่านละ 3,980 เยน
Website Kameyamashachuu
Location:188-1 Tomidocho Tenri Nara

3. ร้าน Mahorobo Daibutsu Purin Honpo พุดดิ้งพระใหญ่                                                          
หากหลายๆท่านไปเที่ยวในเมือง Nara แล้วมองหาของฝากแนะนำร้าน Mahorobo Daibutsu Purin Honpo หรือ พุดดิ้งพระใหญ่ไดบุตสึ ที่ใครไปใครมาต้องแวะซื้อเป็นของฝากอย่างแน่นอน ซึ่งพุดดิ้งจะมีอยู่ 2 ขนาด  ขนาดใหญ่ให้ความรู้สึกเหมือนได้ชิมรสชาติพุดดิ้งฝีมือคุณแม่คิมตทามะ ซีรีส์ชื่อดังในยุคโชวะ ส่วนขนาดเล็กพอดีคำพกพาง่ายชวนให้นึกถึงพุดดิ้งฝีมือคุณแม่ในยุคเฮเซ ทั้งสองขนาดกลมกล่อมไปด้วยรสชาติครีมสดที่เข้มข้นเต็มทุกรสสัมผัส ทุกท่านที่ไปสามารถเลือกซื้อเป็นของฝากติดไม้ติดมือกันได้เลยค่ะ หรือท่านไหนอยากนั่งรับประทานที่ร้านก็ได้นะคะเนื่องจากทางร้านก็มีที่นั่งรองรับสำหรับลูกค้าที่ต้องการรับประทานที่ร้านค่ะและที่สำคัญที่สุดราคาไม่แพงค่ะเพียงแค่ 378 เยน แต่รสชาติอร่อยคุ้มเกินราคาแน่นอนค่ะ

CR : Kansai THRU PASS – Surutto Kansai
CR : Kansai THRU PASS – Surutto Kansai
CR : Kansai THRU PASS – Surutto Kansai

ร้าน : Mahoro ba Daibutsu Purin Hompo สาขา Kintetsu Nara
ที่ตั้งของร้าน : Naraken’narashi higashimukinakamachi 29 kintetsunaraeki B 1 F azuma kaisatsu-guchi yoko
วิธีการเดินทาง: นั่งรถไฟ Kintetsu Railway ลงสถานี Kintetsu Nara ออกทางออกห้องขายตั๋ว
เวลาทำการ : เวลา 9:00-20:00น.
Website : http://www.daibutsu-purin.com/ (ภาษาญี่ปุ่น)
Location : Naraken’narashi higashimukinakamachi 29 kintetsunaraeki B 1 F azuma kaisatsu-guchi yoko

4. ร้าน โซเม็ง มิวะจะยะ (Soumendokoro Miwachaya) โซเม็งยืดเส้นด้วยมือ
สำหรับใครหลายคนที่มีความหลงไหลในเส้นแนะนำร้าน โซเม็ง มิวะจะยะ (Soumendokoro Miwachaya) ตั่งอยู่ย่านมิวะที่อยู่ในเมืองซากุไรจังหวัดนารามีของขึ้นชื่อคือโซเม็งยืนดเส้นด้วยมือ “เทะโนเบะ โซเมน” และได้ขึ้นชื่อว่าเป็นร้านที่มีคว่ามเก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น หากได้ทานในช่วงที่มีอากาศเย็น ก็ยังนำเส้นโซเมงนี้ไปทานคู่กับน้ำซุปร้อนๆพร้อมลักษณะพิเศษที่ความเล็กและเหนียวนุ่มราวเส้นด้ายพร้อมเนื้อสัมผัสเวลาเคี้ยวที่ยอดเยี่ยมเละสามารถทานได้หลากหลายวิธีไม่ว่าจะเป็นแบร้อนหรือแบบเย็น

ร้าน :ร้านโซเม็ง มิวะจะยะ (Soumendokoro Miwachaya そうめん処三輪茶屋)
ที่ตั้งของร้าน:880 Daiji Hashinaka, Sakurai-shi, Nara
เวลาทำการ:เวลา 11:00 – 16:30 น.
วิธีเดินทาง:ลงรถไฟที่สถานี Makimuku แล้วเดินต่อ 9 นาที
Website :http://www.miwayama.co.jp/
Location:878 Hashinaka, Sakurai, Nara 633-0072, Japan

5.ชิซุกะ สาขาโอมิยะ (Shizuka Omiyaten )
หากพูดถึงคามะเมชิล่ะก็ “ร้านชิสุกะ” ต้องเป็นร้านที่ผู้คนกล่าวถึงกันมากที่สุดแน่นอนเพราะร้านแห่งนี้หุงข้าวคามะเมชิแต่ละหม้อด้วยไฟแรงอย่างบรรจง หากใครไปต้องบอกเลยว่าต้องเผื่อท้องไว้ประมาณ 20-30 นาที เลยค่ะ เนื่องจากทางร้านพิถีพิถันในการทำเป็นอย่างมากเพื่อให้ข้าวออกมาอร่อย และเครื่องปรุงของทางร้านจะเปลี่ยนไปตามฤดูกาล เชื่อได้ว่าหลายๆท่านไปอาจจะได้กินแบบไม่ซ้ำกันเลยค่ะเช่น ฤดูใบไม้ร่วงใช้เกาลัด, ฤดูหนาวใช้หอยนางรม น้ำซุปที่ใช้หุงข้าวได้มาจากการต้มกระดูกไก่กับสาหร่ายคอมบุ พร้อมกับข้าวที่น้ำซุปซึมเข้าไปในข้าวทุกเม็ดและยังมีกลิ่นหอมของข้าวที่ไหม้ติดก้นหม้อ บอกได้เลยว่าอร่อยมากๆ

ร้าน:ชิซุกะ สาขาโอมิยะ (Shizuka Omiyaten 志津香 大宮店)
ที่ตั้งของร้าน:4-249-4 Omiyacho, Nara-shi, Nara
เวลาทำการ:เวลา 11:00 – 20:30 น.
วิธีเดินทาง:ลงรถไฟที่สถานี Nara แล้วเดินต่อ 10 นาที
Website :http://www.kamameshi-shizuka.jp
Location :4-249-4 Omiyacho, Nara, 630-8115, Japan

📌 เพื่อนๆ สามารถสอบถามราคาพาสต่างๆ ได้ที่ บริษัท เจแปน ออล พาส จำกัด ( Japan All Pass Co.,Ltd. ) ☎ โทร. 02-514-7473 (วันจันทร์-เสาร์ เวลา 09.00-18.00 น.) สายด่วน 08-2828-9933 / 08-2828-9944 / 08-2828-9393 / 08-2828-9494 / 08-2828-9988

ID LINE : @japanallpass
หรือช่องทาง Inbox >>
📱สำหรับโทรศัพท์มือถือ คลิก m.me/japanallpass
💻สำหรับ Computer PC คลิก https://goo.gl/QhNgSN
หรือ [email protected]

จุดชมซากุระในภูมิภาคคิวชู

ภูมิภาคคิวชูเป็นภูมิภาคทางตอนใต้ของญี่ปุ่น จะมีอากาศที่อบอุ่นกว่าภูมิภาคอื่นๆ และซากุระจะเริ่มบานเร็วกว่าภูมิภาคอื่นๆ จะบานช่ วงปลายเดือนมีนาคม – กลางเมษายน วันนี้จะมาแนะนำจุดชมซากุระยอดฮิตที่ชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวนิยมมาชม และถ่ายรูปกันมากที่สุด

1.ปราสาทคุมาโมโตะ

ปราสาทคุมาโมโตะ

เป็นแลนด์มาร์กสำคัญของเมือง และยังจะเป็นจุดชมดอกซากุระยอดนิยมอันดับต้นๆ ของเมืองคุมาโมโตะ เรียกได้ว่ามาชมซากุระที่นี่จะได้ทั้งความอลังการของสถาปัตยกรรมและความสวยงามของดอกซากุระที่รายล้อมรอบปราสาทราวๆ กว่า 800 ต้นกันเลย

การเดินทาง : จากสถานีรถไฟ JR Kumamoto นั่งรถรางมาลงที่สถานนี umamotojo-mae หรือจะเดินมาเลยก็ได้ ใช้เวลาประมาณ 40 นาที

2.สวนโนะโคะโนะชิมะ (Nokonoshima Island Park)

สวนโนะโคะโนะชิมะ (Nokonoshima Island Park)

เป็นสวนดอกไม้ขนาดใหญ่และมีชื่อเสียงมากในเมืองฟุกุโอกะ (Fukuoka) ตั้งอยู่บนเนินเขาใจกลางของเกาะ Nokonoshima ในสวนจะเป็นไปด้วยดอกไม้หลากหลายชนิดและบานให้ชมทุกฤดูกาล ในช่วงฤดูใบไม้ผลิก็เป็นความสวยงามของดอกซากุระที่บานสะพรั่งทั่วเนินเขาไปเลยจ้า

การเดินทาง : นั่งรถบัส Nishitetsu Bus จากแถวฮากาตะ(Hakata) ที่ป้าย Hakataeki-mae A หรือแถว เทนจิน(Tenjin) ที่ป้าย Tenjin kosoku basu taminaru-mae ไปลงที่ป้ายท่าเรือ Noko dosenba(ferry terminal) หรือนั่งรถไฟไปลงที่สถานี Meinohama Station แล้วต่อแท๊กซี่ จากนั้นนั่งเรือต่อไปลงที่ท่าเรือ Nokonoshima Ferry Terminal ต่อรถบัส Nishitetsu bus ไปลงที่หน้าสวนค่ะ

สวนโนะโคะโนะชิมะ (Nokonoshima Island Park)

3.สวนสาธารณะโอมุระ (Omura Park)

สวนสาธารณะโอมุระ (Omura Park)
ขอบคุณรูปจาก : Nagasaki Prefecture

สวนนี้ตั้งอยู่จังหวัดนางาซากิ ที่ปลูกซากุระมากกว่า 2,000 ต้น 21 สายพันธุ์ สายพันธุ์ที่จะพลาดชมไม่ได้เลย คือ “โอมุระซากุระ” (Omurazakura) เป็นซากุระที่มีกลีบซ้อนดอกใหญ่มี 60-100 กลีบต่อดอก  ต่างจากสายพันธุ์อื่นๆ ที่มีเพียง 5 กลีบต่อดอก แถมยังสามารถเช่าชุดกิโมโนเดินชมซากุระ ถ่ายรูปไปได้พร้อมๆ กันเลยจ้า

การเดินทาง : จากสถานี JR Omura โดยสารรถ Nagasaki Ken-ei Bus ไปลงที่ป้าย Shiyakusho-Mae ใช้เวลาประมาณ 4 นาที แล้วเดินต่ออีก 1 นาที

4.วัดอิชชินจิ (Isshin-ji Temple)

วัดนี้ตั้งอยู่ในจังหวัดโออิตะ(Oita) บริเวณเป็นที่ราบโอบล้อมด้วยภูเขาและเต็มไปด้วยต้นซากุระกว่า 1,000 ต้น บานสะพรั่งอยู่ในพื้นที่กว่า 20,000 ตรม. ราวกับเป็น ทะเลซากุระเลยก็ว่าได้ ในยามค่ำคืนจะมีไฟส่องมาที่บริเวณนี้ทำให้สามารถเพลิดเพลินกับซากุระในเวลากลางคืนได้ บอกเลยว่าจุดนี้สวยทั้งกลางวันและกลางคืนกันเลย

การเดินทาง : นั่งรถไฟสาย JR ลงสถานีโออิตะ (Oita) ต่อรถบัสสายที่วิ่งไปทางโทกิวะวาซาดะทาวน์ (Tokiwa Wasada town) นั่งประมาณ 20 นาที แล้วลงที่ป้ายโทกิวะวาซาดะทาวน์ ต่อแท็กซี่ประมาณ 10 นาทีจะถึง หรือจากสถานีรถไฟโออิตะ นั่งรถส่วนตัวประมาณ 40 นาที

5.สวนอิโซะยามะ (Isoyama Park)

สวนอิโซะยามะ (Isoyama Park)
ขอบคุณรูปจาก : JNTO

ตั้งอยู่บนภูเขาสูง 150 เมตร จังหวัดคะโงะชิมะ (Kagoshima) สำหรับสวนแห่งนี้จะเปิดให้เข้าเฉพาะช่วงฤดูใบไม้ผลิหรือช่วงซากุระบานภายในสวนจะเต็มไปด้วยต้นซากุระจำนวน 250 ต้นที่แข่งกันเบ่งบานอวดความสวยงามให้นักท่องเที่ยวไปถ่ายรูปกันได้เต็มอิ่มค่ะ

การเดินทาง : จาก Kagoshima-chuo Station โดยรถแท็กซี่ 30 นาที

📌 เพื่อนๆ สามารถสอบถามราคาพาสต่างๆ ได้ที่ บริษัท เจแปน ออล พาส จำกัด ( Japan All Pass Co.,Ltd. ) ☎ โทร. 02-514-7473 (วันจันทร์-เสาร์ เวลา 09.00-18.00 น.) สายด่วน 08-2828-9933 / 08-2828-9944 / 08-2828-9393 / 08-2828-9494 / 08-2828-9988

ID LINE : @japanallpass
หรือช่องทาง Inbox >>
📱สำหรับโทรศัพท์มือถือ คลิก m.me/japanallpass
💻สำหรับ Computer PC คลิก https://goo.gl/QhNgSN
หรือ [email protected]

สถานที่ห้ามพลาดเมื่อมา “HAKODATE”

“ฮาโกดาเตะ” เมืองท่าที่แสนโรแมนติก ตั้งอยู่ทางตอนใต้ และเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของภูมิภาคฮอกไกโด ไม่ว่าใครไปใครมาฮอกไกโดจะต้องแวะมาเช็คอิน เพราะนอกจากจะเป็นเมืองท่าที่มีเสน่ห์น่าค้นหาแล้ว ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังอีกมากมายที่ทำให้ผู้รักการเดินทางนั้นมาเยือน เมืองนี้สามารถเที่ยวได้ทุกฤดู ไม่ใช่แค่ฤดูหนาวเท่านั้นค่ะ! เมื่อเตรียมตัวพร้อมแล้ว ไปเที่ยวกันเล๊ยยย…

JR Hakodate

พอออกมาเจอรูปปั้นสีแดงอันนี้ หน้าสถานี JR Hakodate อย่าลืมถ่ายรูปเช็คอินกันนะ เป็นสัญลักษณ์ของสถานีรถไฟ เป็นรูปปั้นแม่ลูกสีแดง ยืนโก้งโค้งซ้อนกันอยู่ มองเห็นชัดเจนมาแต่ไกลเลยล่ะ

1.Asaichi Morming Market หรือตลาดเช้าฮาโกดาเตะนั่นเอง ศูนย์รวมของความอร่อย เป็นตลาดที่สามารถมาลิ้มรสอาหารทะเลสดๆ ผักสด ผลไม้สด และอาหารอื่นๆอีกมากมาย จะซื้อกลับไปทำกินเอง หรือกินสดๆที่ร้านนั่นเลยก็ได้ค่ะ ที่นี่เปิดขายกันตั้งแต่ตี 5 ไปจนถึงช่วงเที่ยงวัน แนะนำให้ตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ ออกมาสูดอากาศยามเช้า แล้วออกมาเดินเล่นที่ตลาดเพื่อซึมซับบรรยากาศ และวิถีชีวิตของชาวฮาโกดาเตะกัน

Asaichi Morming Market
Asaichi Morming Market

การเดินทาง : ตลาดอยู่ใกล้สถานี JR Hakodate ค่ะ เดินประมาณ 1 นาที หรือเดินจากรถรางสถานี Hakodate-mae ประมาณ 2 นาที

Asaichi Morming Market
Asaichi Morming Market

2.สวนสาธารณะรูปดาว ป้อมโกะเรียวคะคุ (Fort Goryokaku)

ป้อมโกะเรียวคะคุ (Fort Goryokaku)

มองมุมสูงผ่านกระจกใส ที่เมือง Hakodate เกาะฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น ที่นี่สามารถมองเห็นสวนสาธารณะในมุมกว้างและวิวสวยๆ ของเมือง Hakodate ได้แบบเต็มตา กับภาพมุมสูงบนหอคอยโกะเรียวคะคุ (Goryokaku Tower) เป็นหอคอยสูง 90 เมตร สามารถขึ้นไปชมวิวสวนสาธารณะรูปดาวห้าแฉกได้แบบ 360 องศา ส่วนชั้นล่างสุดนั้น มีร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร และลานจัดนิทรรศการ หรือถ้าใครสนใจ จะเดินข้ามสะพานเข้าไปชมพื้นที่รูปดาวก็ได้ค่ะ สวนแห่งนี้ยังปลูกต้นซากุระกว่า 100 ต้น ตามบริเวณคูน้ำ ในช่วงฤดูใบไม้ผลิต้นเดือนพฤษภาคม ที่นี่จะเป็นจุดชมดอกซากุระที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งของฮอกไกโดค่ะ

ป้อมโกะเรียวคะคุ (Fort Goryokaku)

ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 900¥, นักเรียน 680¥, เด็ก 450¥ (เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีเข้าฟรี)

ป้อมโกะเรียวคะคุ (Fort Goryokaku)

การเดินทาง : จากสถานี JR Hakodate นั่งรถรางสาย 2 หรือ 5 ที่มุ่งหน้าไปทาง Yunokawa ลงที่ป้าย Goryokaku koenmae และเดินต่อประมาณ 20 นาที จะมีป้ายบอกทางค่ะ

ป้อมโกะเรียวคะคุ (Fort Goryokaku)

3.Mt.Hakodate เขาฮาโกดาเตะ เป็น 1 ใน 3 จุดชมวิวที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น ตอนขึ้นกระเช้าเพื่อขึ้นไปยังจุดชมวิวที่กลางวันมองเห็นเมืองทั้งเมืองได้อย่างสวยงาม ไม่แพ้กับในยามค่ำคืนเลย ยิ่งช่วงเวลาพลบค่ำจะมีนักท่องเที่ยวพากันขึ้นไปจับจองพื้นที่ชมวิวเมืองฮาโกดาเตะ ที่มีน้ำทะเลขนาบอยู่ทั้งสองด้าน ยิ่งขึ้นมาด้านบน บอกได้เลยว่าสุดยอดมาก กดชัตเตอร์กันแทบไม่ทันเลยค่ะ เพราะสวยทุกมุมจริงๆ การเดินทางขึ้นเขานั้น มีกระเช้าไฟฟ้านั่งไปถึงยอดเขาในเวลาเพียง 3 นาที ความสูง 334 เมตรจากระดับน้ำทะเลค่ะ มาเที่ยวบนนี้ สูงสวยคุ้ม

Mt.Hakodate
Mt.Hakodate

การเดินทาง : ขึ้นรถรางด้านหน้าสถานี Hakodate-mae ไปลงสถานี Jujigai จากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 10 นาที หรือนั่งรถบัส Hakodate Bus ที่หน้าสถานี Hakodate ค่ะ

Mt.Hakodate

4.Kanemori Red Brick Warehouse (โกดังอิฐแดงคาเนโมริ)

Kanemori Red Brick Warehouse (โกดังอิฐแดงคาเนโมริ)

อยู่ที่เมืองฮาโกดาเตะ เกาะฮอกไกโด โกดังแห่งนี้ตั้งหันหน้าไปทางอ่าวฮาโกดาเตะ ถูกเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวให้นักท่องเที่ยวได้มาเดินชิลล์ๆชมทิวทัศน์ของน้ำกระทบกับแสงอาทิตย์ที่รอลับขอบฟ้า ริมอ่าว หรือจิบกาแฟรับลมเย็นๆในบรรยากาศสุดฟิน และที่สำคัญคือยังรวมเอาร้านค้าที่จำหน่ายสินค้าชื่อดังของฮอกไกโดไว้ให้เราได้ช้อปปิ้งเพลินๆกันมากมายค่ะ

Kanemori Red Brick Warehouse (โกดังอิฐแดงคาเนโมริ)

การเดินทาง : นั่งรถราง สามารถลงได้ 2 สถานี คือสถานี Suehirocho หรือ Jujigai ก็ได้ แต่ถ้าลงที่ Suehirocho จะเดินได้ใกล้กว่าค่ะ

Kanemori Red Brick Warehouse (โกดังอิฐแดงคาเนโมริ)

5.Hakodate Tropical Botanical Garden (Hakodate-shi Nettai Shokubtsu-en)

ตั้งอยู่บริเวณน้ำพุร้อนยุโนะกะวะ (Yunokawa Hot Spring) ซึ่งสามารถปลูกพืชในแถบเขตร้อนได้ด้วย ช่วงฤดูหนาวแบบนี้ จะเห็นน้องลิงมานอนแช่น้ำพุร้อนกันอย่างมีความสุข ที่สวนพฤกศาสตร์เขตร้อนเมืองฮาโกดาเตะ และกิจกรรมที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก ก็คือ การเข้ามาชมลิงแช่ออนเซนน่ารักๆ ในช่วงฤดูหนาว โดยบริเวณกลางแจ้งในสวนพฤกษศาสตร์เขตร้อน มีการเลี้ยงลิงเอาไว้หลายตัว เมื่อถึงฤดูหนาว น้ำพุร้อนจะถูกปล่อยให้ไหลลงในสระ บรรดาลิงทั้งหลายก็จะมานั่งแช่กันอย่างมีความสุข ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นของฮาโกดาเตะ จ.ฮอกไกโดค่ะ

การเดินทางอย่างละเอียด สามารถดูได้จากลิ้งค์นี้เลยนะคะ รับรองไม่หลงแน่นอนค่ะ

📌 เพื่อนๆ สามารถสอบถามราคาพาสต่างๆ ได้ที่ บริษัท เจแปน ออล พาส จำกัด ( Japan All Pass Co.,Ltd. ) ☎ โทร. 02-514-7473 (วันจันทร์-เสาร์ เวลา 09.00-18.00 น.) สายด่วน 08-2828-9933 / 08-2828-9944 / 08-2828-9393 / 08-2828-9494 / 08-2828-9988

ID LINE : @japanallpass
หรือช่องทาง Inbox >>
📱สำหรับโทรศัพท์มือถือ คลิก m.me/japanallpass
💻สำหรับ Computer PC คลิก https://goo.gl/QhNgSN
หรือ [email protected]

ตะลุยชิม 5 ร้านดังในย่านในโอซาก้า

1. ร้านอาหารปูยักษ์ Kani Doraku สาขา Dotonburi

หลายๆคนไปเที่ยวที่ยี่ปุ่นอาหารสิ่งแรกที่จะนึกถึงเลยก็คงเป็นอาหารทะเล ทั้งกุ้ง หอย ปู ปลา แตที่ขาดไม่ได้เลยในย่าน โอซาก้าต้องเป็น ร้านปูยักษ์ ที่ตั้งอยู่ใจกลางย่านชินไชบาชิที่ ใครหลายๆคนอาจจะรู้จักเป็นอย่างดี ด้วยความโดดเด่นของร้านที่มี สัญลักษณ์ ปูขนาดใหญ่ และเชื่อว่าหลายๆคนที่ไปเที่ยว ต้องแวะถ่ายรูปกับเจ้าปูยักษ์ แน่นอน

และนอกเหนือจากร้านที่มีสัญลักษ์ที่โดดเด่นแล้ว  แค่เพียงเดินผ่าน หรือหยุดแวะถ่ายรูปหน้าร้านก็จะได้กลิ่นหอมๆของปูลอยมา จากด้านในของร้านซึ่งจะมีขาปูย่างขายกันสดๆให้ลองซื้อชิมกันได้เลยค่ะ

เมนูที่หลายๆท่านไปต้องสั่ง

1.Taraba – ปูยักษ์อลาสก้า ขนาดยักษ์

Crab Taraba

2.King Crab – กระดองมีหนาม ตัวใหญ่ เนื้อแน่นปึ้ก

king crab
king crab

3.Queen Crab – กระดองกลม ไร้หนาม เนื้อสด หวานอร่อย

ทั้งนี้เรายังสามารถเลือได้ว่าจะกินแบบ ปิ้งย่าง  ชาบู  ข้าวอบปู  แบบซาซิมิหรือจะสั่งแบบเป็นเซท ก็ได้เหมือนกัน และทางร้านยังมีเมนูภาษาไทย เอาใจลูกค้าคนไทยอีกด้วยค่ะ แต่การจะไปกินอาหารที่ร้านไม่ใช่ว่าจะเดินเข้าไปแล้วจะกินได้เลย ต้องต่อคิวรอเป็นชั่วโมงๆ หรือต้องสั่งจองกันล่วงหน้าก่อนเลยค่ะ แต่เพื่อความอร่อยเชื่อว่าต่อให้นานขนาดไหนก็รอได้อย่างแน่นอนค่ะ

Location: 1 Chome-6-18 Dotonbori, Chuo Ward, Osaka, 542-0071 ญี่ปุ่น

2. ร้านอาหาร Kururu Takoyaki ทาโกะยากิแบบโอซาก้า

ร้าน Kururu Takoyaki นี้เป็นอีกหนึ่งร้านที่ ใครๆมาโอซาก้าจะไปกินอย่างแน่นอน เพราะทาโกะยากิที่ร้านนี้ มีรถชาติแบบโอซาก้าจริงๆ และยังโดดเด่นด้วยการใช้ส่วนผสมสดใหม่  เครื่องเยอะจุใจ ด้วยหมึกยักษ์ชิ้นโต รสชาติแป้งมีความกลมกล่อม หอม และสุกแบบพอดี ไม่แข็งจนเกินไป โดยรวมแล้วคืออร่อยแบบสุด

Location: 542-0071 Osaka, Chuo Ward, Dotonbori, 1 Chome−6

Takoyaki
Takoyaki

3. ร้านอาหาร Gyukatsu Motomura Namba

ร้านอาหารโอซาก้า ที่ชื่อว่า Gyukatsu เป็นร้านอาหารสำหรับคนรักเนื้อ “ทงคัตสึ” หรือ เนื้อซุปแป้งทอด เชื่อว่าใครหลายๆคนมาญี่ปุ่นต้องไม่พลาดสิ่งนี้แน่นอน ร้านนี้เป็นอีกร้าหนึ่งที่อร่อยที่สุด และมีวัตถุดิบ ที่ดี  สะอาดแถมยังอร่อยมากๆ ด้วยวิธีการทำ ทงคัตสึ เนื้อ ที่มีความ  กรอบนอก แนะนุ่มใน และยังมีความฉ่ำของเนื้อที่ซ่อนอยู่ภายใน ด้วยความอร่อยมากๆจรึงทำให้ร้านนี้มีลูกค้ามารอต่อแถวลิ้มรส เป็นจำจวนมาก ซึ้งร้านนี้จะเปิดตั้งแต่ ร้านนี้เปิดตั้งแต่ 11:00 ถึง 23:00ถ้าไม่อยากเสียอารมณ์ ให้มาถึงร้านเวลา 10:40 (ก่อนร้านเปิด 20 นาที) เราอาจจะได้เข้าร้านเป็นชุดแรก …. ร้านเล็ก รับลูกค้าได้ ครั้งละ 12-14 คนเท่านั้น

Location: 542-0076 Osaka, Chuo Ward, Nanba, 3 Chome−3−1

Japanese tonkatsu

4.ร้านอาหาร Gyu Ichi

สำหรับร้าน  Gyu Ichi  ร้านนี้ คอเนื้อต้องไม่พลาสเนื่องจาก ร้านนี้จะมีชื่อเสียงโดงดังมีการแนะนำและรีวิวจากหลายๆเว็บไซต์ของญี่ปุ่น  และรานนี้ยังมีเนื้อที่มีคุณภาพสูงของญี่ปุ่น เนื้อวากิว และเนื้อโกเบ ที่คัดสรรมาอย่างดี เนื้อทั้งหมดจะเป็น เนื้อ A5 อีกด้วย ซึ้งเป็นการการันตี ว่าเป็นเนื้อที่มีคุณภาพที่ยอดเยี่ยมมากที่สุด และที่สำคัญราคาแสนจะถูกมากๆเลยค่ะ

Location: 2-7 Shimoajiharacho, Tennoji Ward, Osaka, 543-0025 ญี่ปุ่น

Wagyu yakiniku

5.ร้านอาหาร Endo Sushi

เชื่อได้ว่าหลายๆท่านที่ไปเที่ยยวที่ญี่ปุ่นส่วนใหญ่แล้วสิงแรกที่มักจะนึกถึงมักจะเป็นอาหารทะเล ปลาดิบ ที่ทำเป็น ซาชิมิ หรือ ซูชิ ถ้าหากไปโอซาก้าแล้วแนะนำร้าน Endo Sushi เนื่องร้านนี้เป็นร้านที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น เปิดมาตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1970 และด้วยความที่ อยู่ในตลาดปลาของโอซ้าก้าจึงทำให้เป็นที่มาของวัตถุดิบอันสดใหม่ ที่สามารถส่งตรงถึงร้านแบบสดใหม่ทุกๆวัน

นอกจากนี้ เอกลักษณ์ของ Endo Sushi ก็คือที่นี่จะใช้ข้าวอุ่นๆ ที่แสนจะเข้ากันกันเนื้อปลาที่นสดๆ ความสดของปลาที่เข้ากันกับข้าวอุ่นๆอย่างลงตัว

และทางร้านยังมีแบบ Omakase Course หรือคอร์สตามที่เชฟจัดให้ อีกด้วย

วิธีเดินทาง: นั่งรถไฟลงสถานี Tamagawa จากนั้นเดินไปที่ประตูหลักของตลาดก็จะเจอร้านค่ะ

Location: 1 Chome-1-86 Noda, Fukushima Ward, Osaka, 553-0005

Sushi Set

📌 เพื่อนๆ สามารถสอบถามราคาพาสต่างๆ ได้ที่ บริษัท เจแปน ออล พาส จำกัด ( Japan All Pass Co.,Ltd. ) ☎ โทร. 02-514-7473 (วันจันทร์-เสาร์ เวลา 09.00-18.00 น.) สายด่วน 08-2828-9933 / 08-2828-9944 / 08-2828-9393 / 08-2828-9494 / 08-2828-9988

ID LINE : @japanallpass
หรือช่องทาง Inbox >>
📱สำหรับโทรศัพท์มือถือ คลิก m.me/japanallpass
💻สำหรับ Computer PC คลิก https://goo.gl/QhNgSN
หรือ [email protected]

5 จุดเช็คอินห้ามพลาด ด้วย JR NORTH KYUSHU PASS

เริ่มกันด้วยคิวชู (Kyushu) เป็นเกาะทางตะวันออกเฉียงใต้ของทางญี่ปุ่น หรือเป็นภูมิภาคหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น  แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ คิวชูตอนเหนือ (ฟุกุโอกะ ซากะ นางาซากิ โออิตะ คุมาโมโตะ) และ คิวชูตอนใต้ (มิยาซากิ คาโกชิม่า และโอกินาว่า) สามารถนั่งเครื่องบินมาลงที่สนามบินฟุกุโอกะ (Fukuoka Airport) ได้เลยจ้า

การเดินทางเที่ยวในภูมิภาคคิวชู (Kyushu) สามารถใช้ JR PASS หรือ JR KYUSHU PASS ในการเดินทางด้วยรถไฟได้เลย วันนี้มาตามรอยสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตที่ห้ามพลาดกัน สำหรับคนที่มี JR NORTH KYUSHU PASS อยู่ในมือกันดีกว่าจ้า

1.อุโมงค์ดอกวิสทีเรีย ที่คาวาจิ ฟูจิ การ์เด้น (Kawachi Fuji Garden) จังหวัดฟุคุโอกะ (Fukuoka)

คาวาจิ ฟูจิ การ์เด้น (Kawachi Fuji Garden)

อุโมงค์ดอกวิสทีเรียเป็นอุโมงค์ดอกไม้ที่มีทางเดินยาว 80 เมตร และ 220 เมตร อยู่ที่คาวาจิ ฟูจิ การ์เด้น (Kawachi Fuji Garden) จังหวัดฟุคุโอกะ (Fukuoka)  ประดับด้วยดอกวิสทีเรีย (Wisteria) 22 สายพันธุ์ ทั้งหมด 150 ต้น มีสีสันที่แตกต่างกัน ส่งกลิ่นหอมไปทั่วทั้งบริเวณ และบานสะพรั่งห้อยระย้าให้เห็นเด่นชัดจนสุดความยาวของอุโมค์สวยงามดั่งภาพวาดไปเลยจ้า

คาวาจิ ฟูจิ การ์เด้น (Kawachi Fuji Garden)

วิธีการเดินทาง: จากสนามบินฟุกุโอกะ ขึ้นรถใต้ดินมาที่สถานี Hakata และต่อรถไฟ JR มาลงที่สถานี Yahata ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง หลังจากนั้นให้นั่งรถบัส Nishitetsu bus เบอร์ 56 มาลงที่ป้าย Kawachi Shogakko-Mae ใช้เวลา 20 นาที และเดินต่ออีก 15 นาที

2. เฮาส์เทนบอช  (Huis Ten Bosch) จังหวัดนางาซากิ

เฮาส์เทนบอช  (Huis Ten Bosch)

เป็นสวนสนุกที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคคิวชู  แถมธีมปาร์คสไตส์ฮอลแลนด์หรือประเทศยุโรปอื่นๆในยุคกลาง ทั่วทั้งบริเวณจำลองเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีทั้งร้านอาหาร ร้านค้า โรงแรมอยู่ในพื้นที่กว้างใหญ่ถึง 1,520,000 ตารางเมตร ไฮไลท์ของที่นี่คือการปลูกดอกไม้เปลี่ยนไปตามฤดูกาล เหมาะสำหรับคนชอบถ่ายภาพก็มีมุมถ่ายภาพสวย ๆ มากมาย ต่อด้วยมี illumination ในช่วงเย็นให้ได้ชมกันอีก ทำให้รู้สึกเหมือนเที่ยวยุโรปแต่ทั้งๆ ที่อยู่ในญี่ปุ่นเองจ้า

การเดินทาง : จาก ฟูกุโอกะ (Fukuoka)นั่งรถไฟสาย JR limited express มาลงที่สถานี เฮาเทนบอส ใช้เวลาประมาณ 110 นาทีค่ะ

เฮาส์เทนบอช  (Huis Ten Bosch)

3.  เบปปุ ออนเซน(Beppu Onsen) จังหวัดโออิตะ

เบปปุ ออนเซน(Beppu Onsen)

เป็นเมืองที่ได้ยินชื่อแล้วจะนึกถึงออนเซนแน่นอน เนื่องจากเป็นเมืองที่อยู่ริมทะเลและมีชื่อเสียงเรื่องบ่อออนเซน ที่ให้บรรยากาศการแช่แบบญี่ปุ่นแท้ๆ เมืองนี้มีแหล่งน้ำแร่ธรรมชาติมากถึง 8 บ่อ ประกอบด้วย Beppu, Kannawa, Myoban, Kankaiji, Hamawaki, Kamegawa, Horita และ Shibaseki ซึ่งทำให้เบปปุเป็นเมืองที่ผลิตน้ำแร่มากที่สุดในบรรดาเมืองตากอากาศออนเซนทั้งหลายเลย แถมการเดินทางก็สะดวกอีกด้วย

การเดินทาง : จาก ฟูกุโอกะ (Fukuoka) นั่งรถไฟ JR สาย Nippo มาลงที่สถานีเบปปุ(Beppu) ได้เลย

4.ยูฟูอิน Yufuin จังหวัดโออิตะ

ยูฟูอิน Yufuin

เป็นอีกเมืองในภูมิภาคคิวชูที่โดดเด่นเรื่องออนเซน แม้จะเป็นเมืองเล็กๆ แต่ก็อุดมไปด้วยความน่ารักและอบอวนไปด้วยธรรมชาติที่สวยงามของทุ่งหญ้า ป่า และภูเขา แถมบรรยากาศโดยรอบ ๆ เมืองเงียบสงบ อากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี สามารถมาเที่ยวพักผ่อนชาร์จแบตให้กับร่างกายได้ทุกยาม ตามที่หัวใจเรียกร้องการพักผ่อนอย่างแท้จริง บอกเลยว่าเมืองยูฟูอินเป็นเมืองที่ชาวญี่ปุ่นเองและชาวต่างชาติให้ความนิยมมาเที่ยวมากที่สุดติดอันดับเมืองที่ห้ามพลาดกันเลยที่เดียวค่ะ

ยูฟูอิน Yufuin

การเดินทาง : จาก ฟูกุโอกะ (Fukuoka)นั่งรถไฟ Yufuin No Mori จากสถานี Hakata ลงสถานี Yufuin.ใช้เวลา : 2 ชั่วโมง 10 นาที

5.ปราสาทคุมาโมโตะ (Kumamoto Castle) จังหวัดคุมาโมโตะ

เป็นปราสาทที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของญี่ปุ่น มีโครงสร้างเป็นหินทั้งหลัง มีทั้งหมด 2 อาคาร ภายในตกแต่งอย่างสวยงามตามแบบฉบับของญี่ปุ่นในช่วงยุคโบราณ อีกทั้งยังปลูกต้นซากุระไว้รอบปราสาทมากถึง 800 ต้น ในช่วงฤดูใบไม้ผลิจะกลายเป็นแลนด์มาร์คยอดฮิตในการชมซากุระอีกด้วย นอกจากนี้บริเวณรอบ ๆ ปราสาทยังมีสวนสาธารณะสวย ๆ ให้เดินกินลมชมวิวได้แบบเพลินๆ  แล้วเดินต่อมาอีกไม่ไกลจะมีตรอกโบราณชื่อว่า Sakura no baba josaien เป็นแหล่งช้อปปิ้งที่ให้บรรยากาศแบบเมืองเก่า ที่มีทั้งร้านอาหาร ร้านค้า ร้านของที่ระลึกและแน่นอนว่าจะมีเจ้าคุมะมงมาสคอตประจำเมืองนี้จำหน่ายด้วยค่ะ

การเดินทาง : จากสถานีรถไฟ JR Kumamoto นั่งรถรางมาลงที่สถานนี umamotojo-mae หรือจะเดินมาเลยก็ได้ ใช้เวลาประมาณ 40 นาที

ปราสาทคุมาโมโตะ (Kumamoto Castle)

บอกเลยการเดินทางมาเที่ยวเมืองต่างๆ ที่คิวชูไม่ทำให้ผิดหวังแน่นนอนเจ้าค๊า

📌 เพื่อนๆ สามารถสอบถามราคาพาสต่างๆ ได้ที่ บริษัท เจแปน ออล พาส จำกัด ( Japan All Pass Co.,Ltd. ) ☎ โทร. 02-514-7473 (วันจันทร์-เสาร์ เวลา 09.00-18.00 น.) สายด่วน 08-2828-9933 / 08-2828-9944 / 08-2828-9393 / 08-2828-9494 / 08-2828-9988

ID LINE : @japanallpass
หรือช่องทาง Inbox >>
📱สำหรับโทรศัพท์มือถือ คลิก m.me/japanallpass
💻สำหรับ Computer PC คลิก https://goo.gl/QhNgSN
หรือ [email protected]

ชิม Omi Beef หนึ่งในสาม เนื้อวัวที่ดีที่สุดในญี่ปุ่น ที่ Otsu

พูดถึงอาหารญี่ปุ่น นอกจากซาซิมิแล้วล่ะก็ หนึ่งในเมนูยอดนิยมคงหนีไม่พ้นเนื้อวัวแน่นอนค่ะ ครั้งนี้แอดมินจึงขอพูดถึงเนื้อ Omi หนึ่งในเนื้อวัวที่ดีที่สุดของญี่ปุ่นเลย แค่คิดก็น้ำลายไหลแล้วค่ะ

เริ่มแรกเดิมทีเนื้อวัว Omi มีประวัติมาอย่างยาวนานกว่า 400 ปีเลยทีเดียว ถือเป็นอาหารชั้นสูงในสมัยก่อน โดยเนื้อนี้ถูกนำถวายให้โชกุนสมัยเอะโด รวมถึงเหล่าซามูไรด้วย ต่อมาเมื่อการขนส่งพัฒนามากขึ้น จึงมีการนำเนื้อโอมิส่งไปยังกรุงโตเกียว และเนื่องจากสมัยนั้นเนื้อ Omi ถูกส่งไปจากท่าเรือโกเบจึงถูกเรียกกันว่า เนื้อโกเบ จนเป็นที่โด่งดังไปทั่วโลก และเรียกติดปากมาจนถึงปัจจุบันนี้นั่นเอง เนื้อ Omi มีจุดกำเนิดมาจากจังหวัด Shiga และ Otsu ที่มีร้าน Omi แสนอร่อยมากมายหลายร้านให้เลือกได้ตามใจชอบเลย

สายเนื้อไม่ควรพลาด ความฟินที่ที่จะทำให้รู้สึกประทับใจกันแบบสุดๆ ไปเลย กับเมนูเนื้อของที่มีทั้งสุกี้ยากี้ ปิ้งย่าง และสเต็ก รวมไปถึงเมนูอื่นๆ อีกมากมาย สำหรับใครที่กำลังมองหาร้านเนื้อ Omi แนะนำอยู่ ลองมาดูกัน กับ 3 ร้าน ที่เสิร์ฟเมนูเนื้อ Omi แสนอร่อย

Nikubar Modern Meal: ร้านสเต็กสุดคุ้ม

ร้านบาร์เนื้อแสนอร่อยเจ้าของเดียวกับร้านขายเนื้อสดในเกียวโตจึงสามารถมั่นใจได้ว่าถ้าหากมาทานเนื้อที่ร้านนี้ เพื่อนๆจะได้ลิ้มลองเนื้อรสชาติดีที่ทั้งสดและอร่อยมากๆ อย่างแน่นอน โดยร้านนี้ตั้งอยู่หน้าสถานี Hamaotsu เลย เดินทางสะดวกมากๆ

ถ้าใครอยากทานเนื้อชั้นดีในราคาสุดประหยัดแล้วล่ะก็ ร้านนี้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะสเต็กเนื้อวากิวราคาถูกอย่างไม่น่าเชื่ีอเลยล่ะ แถมยังสามารถหาทานเมนูหายากอย่าง แฮมสดเนื้อวากิวหรือยำเนื้อดิบสไตล์ญี่ปุ่น ไปจนถึงเมนูอื่นๆ อีกมากมายเลยค่ะ ถ้าหากมารับประทานมื้อเที่ยงที่นี่ก็ไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน เพราะมีเมนูเนื้อจุใจหลากหลายเมนูในราคาเบากระเป๋าให้ทานด้วย กินเนื้อชิลๆ ไปพร้อมกับบรรยากาศร้านสไตล์ตะวันตก ฟินสุดๆ ไปเลย

Nikubar Modern Meal
ที่อยู่ : 1-4-1 Japan Former Otsu Public Hall 1F, Hamaootsu, Otsu, Shiga, 520-0047
วิธีเดินทาง : เดินจาก Biwako-Hamaotsu Station ไปประมาณ 1 นาที
เวลาทำการ :
Lunch 11:30 น. – 14:00 น. (Last order 13:30 น.) 
Dinner 17:00 น. – 23:00 น. (Last order 22:30 น. )
Website : http://www.kyu-otsukoukaidou.jp/modernmeal/
แผนที่ : https://goo.gl/maps/QbwNEczcZD1QcyUS7

Kadoman: ร้านเนื้อเกรด A5 อร่อยมาอย่างยาวนาน

ร้านเนื้อเกรด A5 ที่มีประวัติมาอย่างยาวนานกว่า 120 ปี ร้านนี้เลือกเสิร์ฟเฉพาะเนื้อคุณภาพดีเท่านั้น โดยเสิร์ฟแตกต่างกันใน 5 สไตล์ เพื่อนๆ สามารถเลือกทานเนื้อแบบ Sukiyaki, Shabu Shabu, Steak, Grill และ Oil Grill ตามแบบที่ชอบได้แบบไม่จำกัดความฟินของคุณภาพเนื้อเลยล่ะ เนื้อลายหินอ่อนชวนหลงใหล กลิ่นหอมอบอวลทำให้ยากที่จะลืมรสชาตินี้เลยล่ะ! ถ้ามาถึงที่ Otsu ไม่ควรพลาดมาลองทานที่ร้านนี้สักครั้ง

Kadoman
ที่อยู่ : 7-35-1,Chuo, Otsu, Shiga 520-0043
วิธีเดินทาง : เดินจาก Otsu Station ไปประมาณ 10 นาที
เวลาทำการ :
17.00 – 21.00 น.
วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เปิด 11.00 – 21.00
Last order 20.30 น.
หยุดทุกวันพุธ
Website : http://www.kadoman.net/eng/
แผนที่ : https://goo.gl/maps/2SCX2cB9RpWM6xoS6

Matsukiya: ร้านเนื้อในตำนานที่ต้องกินสักคร้ัง

ถ้าถามว่าจุดเริ่มต้นเมนูเนื้อที่ดีที่สุดมาจากที่ไหน อาจจะบอกได้ว่าร้านนี้เป็นอีกหนึ่งร้านที่ดีที่สุดเลยก็ว่าได้ กับประวัติของร้านที่มีมาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยเมจิเลยทีเดียว ร้านนี้เป็นร้านที่เริ่มเผยแพร่เนื้อ Omi ไปทั่วประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย

ที่ร้านนี้ เพื่อนๆ สามารถทานเมนูเนื้อ Omi ได้ในหลากหลายรูปแบบ ทั้งสุกี้ยากี้ ชาบู มากไปกว่านั้นคือ สามารถชมการย่างเนื้อสเต็กร้อนๆ ตรงหน้าและเสิร์ฟให้เราแบบสดๆ ใหม่ๆ หากได้มาทานเนื้อ Omi ที่นี่ รับรอง! ว่าไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน ซึ่งในช่วงเมษายน 2018 เปิดสาขาใหม่และในสาขาใหม่นี้เป็นร้านสไตล์โมเดิร์นๆ หาร้านไม่ยากแน่นอน เพราะร้านนี้ตั้งอยู่ตรงข้ามกับร้านสาขาใหญ่ดั้งเดิม ไม่ควรพลาด!!

Matsukiya
ที่อยู่ : 14-17 Karahashi, Otsu, Shiga 520-0851
วิธีเดินทาง : นั่งรถ Keihan Line ลงสถานี Karahashimae ร้านอยู่หน้าสถานี หรือ เดินจาก JR Ishiyama ประมาณ 8 นาที
เวลาทำการ :
ช่วงกลางวัน 11:30 – 14:00 น.
ช่วงกลางคืน 17:00 – 20:00 น.
หยุดทุกวันพุธ
Website : https://www.matsukiya.net/english.html
แผนที่ : https://goo.gl/maps/GQwstrQmR4EkBM1p7

จะมีซักกี่ทริป ที่เราจะได้ลองทานเนื้อลายหินอ่อนนุ่มๆ แต่ไปลองทานที่ไหน ก็ไม่เหมือนมาทานที่ถิ่นกำเนิดแบบนี้แน่นอน แค่ได้ลองสักครั้งเพื่อนๆ จะต้องหลงรักเนื้ออย่างแน่นอน หากได้มาเที่ยวที่นี่ก็อย่าลืมลองไปทานเนื้อ Omi สุดยอดเนื้อแสนอร่อยแห่ง Otsu กันค่ะ